หากเป็นดั่งที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนตั้งธงไว้ว่า เป็นความขัดแย้งทางการเมือง การตายของ “พีระ ตันติเศรณี” อดีตนายเทศมนตรีนครสงขลา นั่นคือ ภาพสะท้อนที่แจ่มชัดของความสามานย์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ
นั่นคือ การฉีกม่านบังตาให้เห็นธาตุแท้ของบรรดานักการเมือง ที่เอาแต่ทำสงครามแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน มากกว่าจะรังสรรค์งานเพื่อประเทศชาติและประชาชน
นั่นคือ ไม่ต่างจากสปอตไลต์ส่องฝ่าความมืดไปฉายให้ว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในหมู่นักเลือกตั้ง หากเกิดขัดแข้งขัดขา หรือขัดผลประโยชน์ พวกเขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นทำลายล้าง หรือไม่ก็หยิบยื่นความตายให้แก่กันได้แบบไม่อินังขังขอบอะไรเลย
แต่ที่สำคัญนั่นคือ เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชี้ชัดอย่างเป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกลุ่มก๊วนหรือแก๊งการเมืองอื่นๆ ที่ยื้อแย่งสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นครองอำนาจรัฐ
การลอบสังหารนายพีระด้วยอาวุธสงครามอย่างโหดเหี้ยมเมื่อช่วงค่ำวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้จะมีการฟันธงไปแล้วว่าสาเหตุหลักเกิดจากความขัดแย้งในผลประโยชน์การเมืองระดับท้องถิ่น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับชาติอย่างยากที่จะแยกออกจากกันได้ เพราะในความเป็นจริงไม่ว่าจะการเมืองท้องถิ่นหรือระดับชาติ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนในเครือข่ายเดียวกัน
นับตั้งแต่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ก่อร่างสร้างระบอบทักษิณขึ้นมาครอบงำสังคม ต้องถือเป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยสู่ยุคใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนมีเพียงประชาธิปัตย์เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับพรรคการเมืองในระบอบทักษิณได้ ไม่ว่าจะไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทยในปัจจุบัน ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ ถูกแปรให้เป็นตัวประกอบที่รอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจับเชิดขึ้นไปร่วมรัฐบาลเท่านั้น
แต่จะว่าประชาธิปัตย์กับระบอบทักษิณคือ มวยถูกคู่ เวลานี้ก็คงพูดกันได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองในระบอบทักษิณหว่านโปรยไปมอมเมาประชาชนมันช่างตื่นตาตื่นใจ และส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เสพติดกันเพลิดเพลินแบบซึมลึกไปแล้ว
หลังๆ มานี่มองไปในสนามการเมืองที่ว่าด้วยตัวเลข ส.ส.ที่จะใช้ยกมือตั้งรัฐบาล แทบไม่มีพรรคไหนเทียบชั้นเพื่อไทยได้ จนเกิดวาทกรรมเย้ยหยันไม่ว่าจะเลือกตั้งอีกกี่ครั้ง ประชาธิปัตย์ก็มีแต่แพ้กับแพ้ โอกาสที่จะสอดแทรกขึ้นเสวยอำนาจรัฐกับเขาบ้างก็ต้องรอให้ทหารลากรถถังออกไปทำรัฐประหารเปลี่ยนขั้วให้เท่านั้น ซึ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันก็เป็นไปได้ยากยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หนทางแสวงประโยชน์ในสนามการเมืองระดับชาติของพลพรรคประชาธิปัตย์นับวันมีแต่จะแคบลงเรื่อยๆ คนที่จ่อคิวเป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งแห่งหนเกิดอาการฝันค้างไปตามๆ กัน มิพักต้องพูดถึงพวกมุ่งมั่นหวังจะไต่เต้าถีบตัวเองไปเข้าคิวรอขึ้นวอเป็นเสนาบดีที่ยังมีแถวยาวเหยียด
จึงไม่แปลกที่คนประชาธิปัตย์ในสนามการเมืองระดับชาติจำนวนมากจะผินหน้าหันมาลงเล่นการเมืองในระดับท้องถิ่น เพราะพวกเขาเห็นหนทางชัดแจ้งที่จะแสวงประโยชน์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมากกว่า และส่วนมากก็ไปกระจุกและแย่งชิงกันในสนามท้องถิ่นระดับใหญ่ ซึ่งแต่ละปีมีตัวเลขงบประมาณระดับพันล้านว่างรอให้เห็นกันจะจะ ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาลนคร หรือเทศบาลเมือง
จึงไม่แปลกที่บนแผ่นดินด้ามขวานอันเป็นฐานที่มั่นของประชาธิปัตย์ หลายปีติดต่อกันมาแล้วที่เราได้เห็นความสับสนวุ่นวายในสนามการเมืองท้องถิ่นใหญ่ๆ มีการแบ่งขั้วแยกข้างแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันเองอย่างมันหยดอยู่ในหลายจังหวัดของภาคใต้ เลือกตั้งสนามท้องถิ่นกันแต่ละครั้งจะเห็นบรรดาสะตอสีฟ้าฟาดฟันกันนัวไปถ้วนทั่วตั้งแต่ชุมพรยันนราธิวาส
อีกทั้งไม่แปลกเช่นกันที่การตายของนายพีระ ไม่ใช่ส่งผลรุนแรงต่อสนามนครสงขลาเท่านั้น ยังสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปยัง อบจ.สงขลา แต่ที่สำคัญคือ ได้สร้างความสั่นไหวให้เกิดขึ้นภายในประชาธิปัตย์อย่างรุนแรงเอาการทีเดียว
หลายคนชี้ว่าเป็นปัญหาภายในของ “มหาฯ คอนเนกชัน” บ้าง เป็นว่าเรื่องของ “ระโนดคอนเนกชัน” บ้าง แต่สำหรับผมแล้ว “ปชป.คอนเนกชัน” นี่แหละที่มีอิทธิพลมากที่สุดที่นำมาสู่การเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
เชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งภายในของประชาธิปัตย์ในพื้นที่ จ.สงขลานั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ดี และน่าจะดียิ่งเสียกว่าที่มีการวิเคราะห์วิจารณ์ในแวดวงสภากาแฟของชาวสงขลาเสียด้วย
ดังนี้แล้ว ในวันฌาปนกิจศพนายพีระวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ถูกเชิญให้เป็นประธานในพิธี นายอภิสิทธิ์จึงควรต้องเจียดเวลาหาทางคลี่คลายปัญหาภายในของ จ.สงขลาให้ได้ในระดับที่ไม่ควรต้องให้กระทบกระเทือนถึงพรรคมากไปกว่านี้
การใช้วิธีบริหารแบบไม่บริหารอย่างที่เคยทำมา ไม่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนี้แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องราวอาจจะลุกลามจนกลายเป็นอีกปัจจัยให้พรรคเดินไปสู่หุบเหวแห่งความเสื่อมสลายได้
ห้วงเวลานี้ในสังเวียนการเมืองแบบไทยๆ ประชาธิปัตย์ไม่ใช่แค่เป็นรองระบอบทักษิณ แต่ยังออกอาการสะบักสะบอมขั้นสาหัสสากรรจ์พอสมควร มีเพียงแต่พลังของภาคประชาชนเท่านั้นที่จะลุกขึ้นต่อกร และพร้อมเป็นพนังทองแดงกำแพงเหล็กให้
นายอภิสิทธิ์จึงไม่ควรมองข้ามพลังของพี่น้องประชาชนชาวสงขลา ยิ่งหลายปีมานี้ถูกจัดว่าเป็นเหมือนทัพหลวงของภาคใต้ที่เข้าร่วมชุมนุมไล่ให้นักโทษชายทักษิณต้องกระเจิดกระเจิงออกไปร่อนเร่อยู่นอกประเทศ
ต้องขอบอกไว้ด้วยว่า ณ เวลานี้ชาวสงขลาตื่นตัวที่จะร่วมกับพี่น้องประชาชนจากทั่วทุกสารทิศล้างคราบไคลการเมืองน้ำเน่า ขจัดนักเลือกตั้งขี้ฉ้อและกลุ่มทุนสามานย์ แล้วเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง
เช่นเดียวกันในระดับท้องถิ่น ผมเชื่อว่าพี่น้องชาวสงขลาก็พร้อมลุกขึ้นทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนไม่แตกต่าง