วานนี้(13 พ.ย.55) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลแขวงดุสิตได้พิจารณาคดีที่นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธาน นปช.เพชรบุรี กรณีส่งอีเมล์ข่มขู่ โดยเป็นการไต่สวนนัดแรกเพื่อพิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ หลังจากที่ตำรวจและอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในเรื่องนี้ โดยนางสาวสมจิตต์ เดินทางไปให้ปากคำด้วยตัวเองพร้อมกับนายกิตติวัฒน์ นิติอัครพัฒน์ ตัวแทนจากสภาทนายความซึ่งเป็นผู้ว่าความในคดีนี้ ส่วนนางสาวพรทิพย์ ไม่ได้มาศาลแต่ส่งทนายมาซักค้าน โดยไม่ได้มีพยานมาหักล้างข้อกล่าวหา หลังการไต่สวนศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ธันวาคมนี้
สำหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 จากกรณีที่นางสาวสมจิตต์ ตั้งคำถาม นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเดินหนีและนางสาวพรทิพย์ได้ส่งอีเมล์ในลักษณะข่มขู่ไปยังเครือข่ายอีก 47 คน โดยโพสต์รูปภาพและข้อความประกอบว่า “เป็นนักข่าวสาวช่อง 7 ที่นายกนกชื่นชมหนักหนาว่ากล้าหาญที่ถามคุณยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จนต้องเดินเลี่ยง คนนี้เป็นใคร หล่อนคือ สมจิตต์ นวเครือสุนทร หรือในนามแฝง มาตา วายุกานต์ ที่แท้อยู่ในเครือเนชั่นและเคยจัดรายการวิทยุร่วมกับนายมีชัย มีเสน อดีต บก.นสพ.แนวหน้ากับผู้สื่อข่าว นสพ.บางกอกโพสต์ นี่เอง”
“จำหน้าหล่อนไว้นาคับ เห็นที่ไหนก็จัดให้หน่อยแล้วกันครับ”
ก่อนหน้านี้นางสาวสมจิตต์ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ดุสิต แต่ตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับอัยการที่ให้เหตุผลว่า “คำว่าจัดให้มีเจตนาจะให้ใช้ความรุนแรงกับโจทก์ แต่ยังอยู่ในขั้นตระเตรียมซึ่งไม่มีการระบุโทษไว้ในกฎหมาย” จึงมีคำสั่งเด็ดขาดยกฟ้องคดีนี้ จากนั้น นางสาวสมจิตต์ ได้ขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายจากสภาทนายความเพื่อยื่นฟ้องตรงต่อศาล กระทั่งศาลนัดว่าจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ธ.ค. 55 รวมแล้วคดีนี้ใช้เวลานานถึงเกือบ 16 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวสมจิตต์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากให้ปากคำในชั้นศาลไว้ว่า ได้ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิตเห็นขั้นตอนการไต่สวน การให้โอกาสทั้งสองฝ่ายจากกรณีที่นางสาวพรทิพย์ ปักษานนท์ ส่งอีเมล์ข่มขู่แล้ว อยากบอกคนไทยว่ากระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะศาลนั้นเป็นที่พึ่งได้ ช่วยกันรักษาอย่าให้ใครมาทำให้ระบบตุลาการอ่อนแอ จนไม่สามารถทำหน้าที่ถ่วงดุลย์ตามระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเข้มแข็ง
วันนี้ นางสาวพรทิพย์ ไม่ได้เดินทางไปรับฟังการไต่สวนและไม่มีพยานใดมาหักล้าง แต่ส่งทนายความมาซักค้าน ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ผู้พิพากษาศาลแขวงดุสิตจึงนัดให้ฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ธันวาคม 2555
ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ ความผิดในการขู่เข็ญสำเร็จหรือยัง หรืออยู่ในขั้นตระเตรียมการ ซึ่งกฎหมายไม่มีบทลงโทษ จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้พิพากษาว่าจะพิจารณาอย่างไร แต่ก็ได้คุยกับคุณกิตติวัฒน์ นิติอัครพัฒน์ ตัวแทนจากสภาทนายความไว้แล้วว่า หากศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องก็ยังมีช่องทางที่จะยื่นอุทธรณ์ได้แม้ว่าเป็นคดีลหุโทษแต่ก็มีข้อยกเว้นว่าจะต้องให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นเซ็นต์รับรองให้ โดยการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมก็จะไปได้ถึงศาลฎีกาตามปกติ
ไม่ว่าศาลจะรับฟ้องหรือไม่ก็ตาม จะเดินให้สุดทางเพื่อกระตุ้นให้สังคมเห็นว่า ประชาชนคนไทยต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน มีสติยั้งคิดก่อนที่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และทุกคนต้องมีสิทธิในทางกฎหมายที่จะปกป้องตัวเองอย่างเท่าเทียมกัน.
สำหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 จากกรณีที่นางสาวสมจิตต์ ตั้งคำถาม นางสาวยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเดินหนีและนางสาวพรทิพย์ได้ส่งอีเมล์ในลักษณะข่มขู่ไปยังเครือข่ายอีก 47 คน โดยโพสต์รูปภาพและข้อความประกอบว่า “เป็นนักข่าวสาวช่อง 7 ที่นายกนกชื่นชมหนักหนาว่ากล้าหาญที่ถามคุณยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จนต้องเดินเลี่ยง คนนี้เป็นใคร หล่อนคือ สมจิตต์ นวเครือสุนทร หรือในนามแฝง มาตา วายุกานต์ ที่แท้อยู่ในเครือเนชั่นและเคยจัดรายการวิทยุร่วมกับนายมีชัย มีเสน อดีต บก.นสพ.แนวหน้ากับผู้สื่อข่าว นสพ.บางกอกโพสต์ นี่เอง”
“จำหน้าหล่อนไว้นาคับ เห็นที่ไหนก็จัดให้หน่อยแล้วกันครับ”
ก่อนหน้านี้นางสาวสมจิตต์ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ดุสิต แต่ตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับอัยการที่ให้เหตุผลว่า “คำว่าจัดให้มีเจตนาจะให้ใช้ความรุนแรงกับโจทก์ แต่ยังอยู่ในขั้นตระเตรียมซึ่งไม่มีการระบุโทษไว้ในกฎหมาย” จึงมีคำสั่งเด็ดขาดยกฟ้องคดีนี้ จากนั้น นางสาวสมจิตต์ ได้ขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายจากสภาทนายความเพื่อยื่นฟ้องตรงต่อศาล กระทั่งศาลนัดว่าจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ธ.ค. 55 รวมแล้วคดีนี้ใช้เวลานานถึงเกือบ 16 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวสมจิตต์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากให้ปากคำในชั้นศาลไว้ว่า ได้ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิตเห็นขั้นตอนการไต่สวน การให้โอกาสทั้งสองฝ่ายจากกรณีที่นางสาวพรทิพย์ ปักษานนท์ ส่งอีเมล์ข่มขู่แล้ว อยากบอกคนไทยว่ากระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะศาลนั้นเป็นที่พึ่งได้ ช่วยกันรักษาอย่าให้ใครมาทำให้ระบบตุลาการอ่อนแอ จนไม่สามารถทำหน้าที่ถ่วงดุลย์ตามระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเข้มแข็ง
วันนี้ นางสาวพรทิพย์ ไม่ได้เดินทางไปรับฟังการไต่สวนและไม่มีพยานใดมาหักล้าง แต่ส่งทนายความมาซักค้าน ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ผู้พิพากษาศาลแขวงดุสิตจึงนัดให้ฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ธันวาคม 2555
ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้คือ ความผิดในการขู่เข็ญสำเร็จหรือยัง หรืออยู่ในขั้นตระเตรียมการ ซึ่งกฎหมายไม่มีบทลงโทษ จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้พิพากษาว่าจะพิจารณาอย่างไร แต่ก็ได้คุยกับคุณกิตติวัฒน์ นิติอัครพัฒน์ ตัวแทนจากสภาทนายความไว้แล้วว่า หากศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องก็ยังมีช่องทางที่จะยื่นอุทธรณ์ได้แม้ว่าเป็นคดีลหุโทษแต่ก็มีข้อยกเว้นว่าจะต้องให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นเซ็นต์รับรองให้ โดยการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมก็จะไปได้ถึงศาลฎีกาตามปกติ
ไม่ว่าศาลจะรับฟ้องหรือไม่ก็ตาม จะเดินให้สุดทางเพื่อกระตุ้นให้สังคมเห็นว่า ประชาชนคนไทยต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน มีสติยั้งคิดก่อนที่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และทุกคนต้องมีสิทธิในทางกฎหมายที่จะปกป้องตัวเองอย่างเท่าเทียมกัน.