การประกาศห้ามทหารร่วมชุมนุมทางการเมือง และขู่ลงโทษทางวินัย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบทบาทของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกตามมาอย่างกว้างขวาง
ทำไมพล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาแสดงท่าที ภายหลังจากที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาเรียกร้องไม่ให้ทหารร่วมชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา
และการห้ามทหารร่วมชุมนุมทางการเมือง เจาะจงเฉพาะกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่ และถ้าทหารบางคนร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ผบ.ทบ.จะมีท่าทีอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เช่นเดียวกับข้าราชการระดับสูงในหลายหน่วยงานที่สยบอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ ยอมถวายตัวรับใช้อย่างสุดลิ่มหรือไม่ กลายเป็นสิ่งที่สังคมกำลังตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม คงปักธงลงไปไม่ได้เสียทีเดียวว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นทหาร “แตงโม” เต็มตัวไปแล้ว เพียงแต่อยู่ในข่ายที่ต้องสงสัยในพฤติกรรมเท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์อาจมีเจตนาดี ไม่อยากให้ทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต้องการให้กองทัพวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ขั้วการเมืองใด
แต่กองทัพจะกำหนดจุดยืนอย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวาย บนสังคมเกิดความแตกแยกระส่ำระสาย และชาติกำลังเดินเข้าสู่หายนะ
ผบ.ทบ.จะทำตัวอยู่บนภูยืนดูเฉยๆ หรือ
คำสั่งห้ามทหารร่วมการชุมนุม โดยชูประเด็นเรื่องระเบียบวินัย เป็นเพราะ ผบ.ทบ.คนนี้จะเคร่งครัดในระเบียบวินัยข้าราชการทหาร และต้องการจัดทหารให้อยู่ในแถวจริงหรือ
เพราะถ้าต้องการจัดระเบียบวินัยให้ทหารอยู่ในแถวจริง คงไม่มีทหารมาเฟียอยู่ในกองทัพ ไม่มีทหารตั้งแก๊งทวงหนี้ คุมสถานบันเทิง คุมวินรถ ไม่มีเสธ.คุมบ่อน คุมธุรกิจนอกกฎหมายอยู่ทั่วประเทศ
ทหารที่มีพฤติกรรมมาเฟีย ทำให้กองทัพเสียภาพลักษณ์มากกว่าทหารที่ร่วมชุมนุมทางการเมืองเสียอีก
แต่พล.อ.ประยุทธ์ลงไปดูแลจัดการทหารมาเฟียบ้างหรือไม่ ทำไมจึงเคร่งครัดกับการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของทหาร บังคับไม่ให้เคลื่อนไหวร่วมกิจกรรมภาคประชาชนที่กำลังหยุดวิกฤตของประเทศ โดยละเลยการจัดการทหารนอกแถวที่ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชน
ภาพลักษณ์ของกองทัพโดยรวมต่อสถานการณ์ทางการเมืองถือว่า วางตัวได้เป็นกลางระดับหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้าราชการหน่วยงานอื่นๆ
ข้าราชการสังกัดหน่วยงานอื่นๆ แสดงตัวฝักใฝ่การเมืองอย่างชัดเจน เลือกข้างอย่างชัดแจ้ง นับถือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนาย ประกาศตัวรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างออกนอกหน้า
แต่กองทัพยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเหมือนหลายหน่วยงาน ซึ่งเกณฑ์ข้าราชการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เกณฑ์ข้าราชการไปคุกคามการชุมนุมของประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ
ทหารยังไม่ประพฤติตัวน่าทุเรศเหมือนตำรวจที่แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ความพยายามแสดงจุดยืน การวางตัวเป็นกลาง อาจทำให้กองทัพพ้นจากแรงกดดันทางการเมือง ปลอดจากการถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
และช่วยให้พล.อ.ประยุทธ์เอาตัวรอดในตำแหน่งได้ แต่กองทัพจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับวิกฤตของชาติตลอดไปหรือ และจะไม่เป็นส่วนหนึ่งในการดับวิกฤตที่กำลังคุกคามความมั่นคงของประเทศหรือ
ไม่มีใครต้องการเห็นพล.อ.ประยุทธ์เอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องนำกองทัพออกมาปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ต้องการเห็นพล.อ.ประยุทธ์แสดงสำนึกต่อส่วนรวมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ผบ.ทบ.จะไม่รู้หรือว่าประเทศกำลังเดินเข้าสู่วิกฤต ไม่รู้เลยหรือว่า สังคมเกิดความแตกแยกขนาดไหน ไม่รู้เลยหรือว่า การทุจริตคอร์รัปชันร้ายแรงเพียงใด ไม่รู้หรือว่า ความมั่นคงของชาติกำลังถูกทำลาย
และไม่รู้เชียวหรือว่า ใครหรือคนกลุ่มใดเป็นตัวต้นเหตุ ใครกำลังคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่รู้หรือว่า คนกลุ่มไหนกำลังปล้นประเทศ
เป็นถึงผบ.ทบ.แล้ว ต้องแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ต้องแยกคนดีคนเลวออก ต้องแยกระหว่างสีขาวกับสีดำได้
เพียงแต่จะกล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง ในฐานะประชาชนที่ตระหนักต่อหายนะของชาติเพียงใดเท่านั้น
การปฏิวัติไม่น่าจะใช่ทางออกสุดท้ายในการยับยั้งวิกฤตของประเทศ
แต่พล.อ.ประยุทธ์จะกำหนดท่าทีอย่างไรของกองทัพ ท่ามกลางสถานการณ์การเผชิญหน้าทางการเมืองที่ใกล้ปะทุ อยู่ที่สำนึกความรับผิดชอบต่อประเทศว่ามีขนาดไหน ยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณของชายชาติทหาร ซึ่งจะต้องปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้เยี่ยงชีวิตเพียงใด
ถ้ายึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณ สำนึกต่อความรับผิดชอบต่อประชาชน คงไม่จำเป็นต้องมีใครไปสั่ง คงไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง และคงไม่มีใครบังอาจไปเสนอแนะว่า ผบ.ทบ.ควรจะกำหนดบทบาทของกองทัพอย่างไรในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน
แน่นอนว่า จุดยืนที่พล.อ.ประยุทธ์กำลังแสดงอยู่ สิ่งที่กำลังทำอยู่ ความพยายามสร้างภาพการวางตัวเป็นกลาง ดึงกองทัพออกจากความขัดแย้งในสังคม ไม่ใช่จุดยืนของผบ.ทบ.ที่มุ่งมั่นรักษาคำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล
และไม่ใช่จุดยืนของผบ.ทบ.ที่มีความสำนึกต่อความรับผิดชอบต่อประชาชนโดยส่วนรวม
คำสั่งห้ามทหารร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาล จะเป็นเพียงการแสดงสัญลักษณ์บอกผ่านให้รู้ว่า ผบ.ทบ.คนนี้จะไม่อยู่ฝ่ายใด
ผบ.ทบ.คนนี้ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นการเมืองอย่ามายุ่งเกี่ยวกับ ผบ.ทบ.เท่านั้นหรือ
พล.อ.ประยุทธ์จะปลีกวิเวกตัวเอง ทำตัวเป็นอิสรชน ไม่ยืนอยู่ข้างฝ่ายใด ปล่อยให้ประเทศล่มสลายโดยไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่กินเงินเดือนภาษีประชาชนหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผบ.ทบ.คนนี้ ก็ไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปกว่าข้าราชการทั่วไป ซึ่งคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่การเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้น
ทำไมพล.อ.ประยุทธ์จึงออกมาแสดงท่าที ภายหลังจากที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาเรียกร้องไม่ให้ทหารร่วมชุมนุมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา
และการห้ามทหารร่วมชุมนุมทางการเมือง เจาะจงเฉพาะกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่ และถ้าทหารบางคนร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ผบ.ทบ.จะมีท่าทีอย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เช่นเดียวกับข้าราชการระดับสูงในหลายหน่วยงานที่สยบอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ ยอมถวายตัวรับใช้อย่างสุดลิ่มหรือไม่ กลายเป็นสิ่งที่สังคมกำลังตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม คงปักธงลงไปไม่ได้เสียทีเดียวว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นทหาร “แตงโม” เต็มตัวไปแล้ว เพียงแต่อยู่ในข่ายที่ต้องสงสัยในพฤติกรรมเท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์อาจมีเจตนาดี ไม่อยากให้ทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต้องการให้กองทัพวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ขั้วการเมืองใด
แต่กองทัพจะกำหนดจุดยืนอย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวาย บนสังคมเกิดความแตกแยกระส่ำระสาย และชาติกำลังเดินเข้าสู่หายนะ
ผบ.ทบ.จะทำตัวอยู่บนภูยืนดูเฉยๆ หรือ
คำสั่งห้ามทหารร่วมการชุมนุม โดยชูประเด็นเรื่องระเบียบวินัย เป็นเพราะ ผบ.ทบ.คนนี้จะเคร่งครัดในระเบียบวินัยข้าราชการทหาร และต้องการจัดทหารให้อยู่ในแถวจริงหรือ
เพราะถ้าต้องการจัดระเบียบวินัยให้ทหารอยู่ในแถวจริง คงไม่มีทหารมาเฟียอยู่ในกองทัพ ไม่มีทหารตั้งแก๊งทวงหนี้ คุมสถานบันเทิง คุมวินรถ ไม่มีเสธ.คุมบ่อน คุมธุรกิจนอกกฎหมายอยู่ทั่วประเทศ
ทหารที่มีพฤติกรรมมาเฟีย ทำให้กองทัพเสียภาพลักษณ์มากกว่าทหารที่ร่วมชุมนุมทางการเมืองเสียอีก
แต่พล.อ.ประยุทธ์ลงไปดูแลจัดการทหารมาเฟียบ้างหรือไม่ ทำไมจึงเคร่งครัดกับการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของทหาร บังคับไม่ให้เคลื่อนไหวร่วมกิจกรรมภาคประชาชนที่กำลังหยุดวิกฤตของประเทศ โดยละเลยการจัดการทหารนอกแถวที่ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชน
ภาพลักษณ์ของกองทัพโดยรวมต่อสถานการณ์ทางการเมืองถือว่า วางตัวได้เป็นกลางระดับหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้าราชการหน่วยงานอื่นๆ
ข้าราชการสังกัดหน่วยงานอื่นๆ แสดงตัวฝักใฝ่การเมืองอย่างชัดเจน เลือกข้างอย่างชัดแจ้ง นับถือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนาย ประกาศตัวรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างออกนอกหน้า
แต่กองทัพยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเหมือนหลายหน่วยงาน ซึ่งเกณฑ์ข้าราชการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เกณฑ์ข้าราชการไปคุกคามการชุมนุมของประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ
ทหารยังไม่ประพฤติตัวน่าทุเรศเหมือนตำรวจที่แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ความพยายามแสดงจุดยืน การวางตัวเป็นกลาง อาจทำให้กองทัพพ้นจากแรงกดดันทางการเมือง ปลอดจากการถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
และช่วยให้พล.อ.ประยุทธ์เอาตัวรอดในตำแหน่งได้ แต่กองทัพจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับวิกฤตของชาติตลอดไปหรือ และจะไม่เป็นส่วนหนึ่งในการดับวิกฤตที่กำลังคุกคามความมั่นคงของประเทศหรือ
ไม่มีใครต้องการเห็นพล.อ.ประยุทธ์เอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องนำกองทัพออกมาปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ต้องการเห็นพล.อ.ประยุทธ์แสดงสำนึกต่อส่วนรวมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ผบ.ทบ.จะไม่รู้หรือว่าประเทศกำลังเดินเข้าสู่วิกฤต ไม่รู้เลยหรือว่า สังคมเกิดความแตกแยกขนาดไหน ไม่รู้เลยหรือว่า การทุจริตคอร์รัปชันร้ายแรงเพียงใด ไม่รู้หรือว่า ความมั่นคงของชาติกำลังถูกทำลาย
และไม่รู้เชียวหรือว่า ใครหรือคนกลุ่มใดเป็นตัวต้นเหตุ ใครกำลังคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่รู้หรือว่า คนกลุ่มไหนกำลังปล้นประเทศ
เป็นถึงผบ.ทบ.แล้ว ต้องแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ต้องแยกคนดีคนเลวออก ต้องแยกระหว่างสีขาวกับสีดำได้
เพียงแต่จะกล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง ในฐานะประชาชนที่ตระหนักต่อหายนะของชาติเพียงใดเท่านั้น
การปฏิวัติไม่น่าจะใช่ทางออกสุดท้ายในการยับยั้งวิกฤตของประเทศ
แต่พล.อ.ประยุทธ์จะกำหนดท่าทีอย่างไรของกองทัพ ท่ามกลางสถานการณ์การเผชิญหน้าทางการเมืองที่ใกล้ปะทุ อยู่ที่สำนึกความรับผิดชอบต่อประเทศว่ามีขนาดไหน ยึดมั่นคำสัตย์ปฏิญาณของชายชาติทหาร ซึ่งจะต้องปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้เยี่ยงชีวิตเพียงใด
ถ้ายึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณ สำนึกต่อความรับผิดชอบต่อประชาชน คงไม่จำเป็นต้องมีใครไปสั่ง คงไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง และคงไม่มีใครบังอาจไปเสนอแนะว่า ผบ.ทบ.ควรจะกำหนดบทบาทของกองทัพอย่างไรในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน
แน่นอนว่า จุดยืนที่พล.อ.ประยุทธ์กำลังแสดงอยู่ สิ่งที่กำลังทำอยู่ ความพยายามสร้างภาพการวางตัวเป็นกลาง ดึงกองทัพออกจากความขัดแย้งในสังคม ไม่ใช่จุดยืนของผบ.ทบ.ที่มุ่งมั่นรักษาคำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล
และไม่ใช่จุดยืนของผบ.ทบ.ที่มีความสำนึกต่อความรับผิดชอบต่อประชาชนโดยส่วนรวม
คำสั่งห้ามทหารร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาล จะเป็นเพียงการแสดงสัญลักษณ์บอกผ่านให้รู้ว่า ผบ.ทบ.คนนี้จะไม่อยู่ฝ่ายใด
ผบ.ทบ.คนนี้ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นการเมืองอย่ามายุ่งเกี่ยวกับ ผบ.ทบ.เท่านั้นหรือ
พล.อ.ประยุทธ์จะปลีกวิเวกตัวเอง ทำตัวเป็นอิสรชน ไม่ยืนอยู่ข้างฝ่ายใด ปล่อยให้ประเทศล่มสลายโดยไม่ทำอะไรเลย ทั้งที่กินเงินเดือนภาษีประชาชนหรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผบ.ทบ.คนนี้ ก็ไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปกว่าข้าราชการทั่วไป ซึ่งคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่การเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้น
