ศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เดินทางไปพบกับนางฮิลลารี คลินตัน เพื่อรับคำสั่งให้เจรจาตกลงกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีเขมร เพื่อยินยอมถอนทหารออกจากพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร
ในขณะที่คนในประเทศกำลังหวาดผวากับคำขู่ของคนเสื้อแดง ซึ่งก็คือกองกำลังเถื่อนพิทักษ์พรรคเพื่อไทยว่า หากศาลตัดสินไม่เป็นที่ถูกใจอาจเกิดสงครามกลางเมือง
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยคลานไปยอมสยบฮุนเซนถึงประเทศกัมพูชาอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทุกครั้งที่มีเหตุกับเขมร ไม่ว่ารัฐบาลยุคไหน นายกฯ หรือรัฐมนตรีของไทยต้องบินไปเจรจากับเขมรแทบทุกครั้ง
ศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2555 รัฐมนตรีกลาโหม พลเอกสุกำพล สุวรรณทัต และผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้ทำพิธีปรับกำลังทหารโดยถอนทหารออกบางจุดและให้ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทำหน้าที่แทน ท่ามกลางความกังขาของทั้งทหารเองและภาคประชาชนที่ติดตามเรื่องความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารมาอย่างต่อเนื่อง
การอ้างคำสั่งศาลโลกให้ถอนทหารทั้งสองฝ่าย ไทยจึงต้องทำตามที่รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวอ้างนั้น คนที่ได้แผ่นดินไทยไปคือเขมร ไทยต้องถอยออกมาจากแผ่นดินของตนเอง ซึ่งมีการประกาศชัดเจนในราชกิจจานุเบกษาแล้วว่า บริเวณเขาพระวิหารทั้งหมดตลอดแนวสันปันน้ำ คือพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นเขตแดนของไทยอย่างชัดเจนตามแผนที่แนบท้ายประกาศ
ประชาชนคนไทยเข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทั้งที่บางแห่งอุทยานประกาศทับที่ดินของชาวบ้าน แต่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี หลายรายถูกคุมขังในคุก นายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กลับปล่อยปละละเลยให้เขมรเข้ามาบุกรุกพื้นที่ ก่อสร้างวัด ชุมชน พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นฝ่ายเปิดประตูให้โจรมาก่อนจึงพูดอะไรได้ไม่เต็มปาก
ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกฯ และต่อเนื่องมาถึงสมัยนายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เปิดทางให้เขมรเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย
การกระทำที่ต่อเนื่องของบุคคลทั้งหมด เดินมาถึงจุดที่เราต้องเป็นเบี้ยล่างเขมรจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าจะไม่ยอมเสียดินแดนก็มีทางเดียวคือขับไล่เขมรออกไปทั้งหมดตลอดแนวชายแดน ทั้งทหารและประชาชนเขมร (ซึ่งที่จริงแล้วก็คือครอบครัวของทหารเขมรทั้งนั้น)
การออกคำสั่งแบบโง่ๆ อย่างกล้าหาญของนายกฯ ที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครั้งนี้ เท่ากับยอมยกแผ่นดินบริเวณรอบเขาพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างชัดแจ้ง เข้าข่ายเป็นกบฏต่อแผ่นดินและเป็นคนขายชาติ
ทหารไทยที่เคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล และร้องเพลงชาติไทยอยู่ทุกวัน ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ ตอบได้เพียงทหารต้องฟังคำสั่งจากรัฐบาลเท่านั้น ถ้ารัฐบาลขายชาติทหารก็พร้อมขายด้วยเช่นนั้นหรือ จะเขียนไว้หน้าค่ายทำไมว่า “จะเป็นทหารของชาติและประชาชน” ประชาชนของท่านคือใครกันแน่
ผลประโยชน์ของชาติและแผ่นดินกลับกลายเป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของพี่ชายที่หนีคดีอยู่ต่างแดน และสิ่งที่ยิ่งลักษณ์ทำก็คือคำสั่งจากคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง
มีพลเอกแห่งกองทัพไทยท่านหนึ่งพูดว่า “เราไม่ควรรบกับเขมร เพราะเขามีทั้งจีนและอเมริกาหนุนหลังอยู่” แล้วฝ่ายความมั่นคงของไทยทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงทำงานการเมืองระหว่างประเทศไม่เป็น ถ้ารู้จักจีนและอเมริกาจริง ลองให้เขาเลือกดูระหว่างผลประโยชน์ในปัจจุบันของทั้งสองชาติ เขาจะสนใจประเทศใดมากกว่ากัน
เกิดเป็นทหาร แต่ยอมจำนนตั้งแต่ยังไม่รบ เอาปืนไปเผาเสียดีกว่า แล้วอย่าลืมเอากระบี่ไปคืนด้วย เดี๋ยวมันจะทิ่มอกตัวเอง ลากไปตามงานต่างๆ ก็เกะกะเปล่าๆ
ใครรานใครรุกด้าวแดนไทย
ไทยรบจนสุดใจขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหลยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้นชื่อก้องเกียรติงามฯ
อ่านโคลงบทนี้แล้วน้ำตาจะไหล ได้รับคำปลอบใจจากรุ่นพี่ที่เป็นนายทหารอาวุโสท่านหนึ่งที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนว่า “วันหนึ่งถ้าแผ่นดินนี้เปลี่ยนแปลง คนขายชาติทั้งหลายต้องถูกขึ้นศาลเขมร โทษมีสถานเดียวคือ ประหารชีวิตทั้งโคตร”
ในขณะที่คนในประเทศกำลังหวาดผวากับคำขู่ของคนเสื้อแดง ซึ่งก็คือกองกำลังเถื่อนพิทักษ์พรรคเพื่อไทยว่า หากศาลตัดสินไม่เป็นที่ถูกใจอาจเกิดสงครามกลางเมือง
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยคลานไปยอมสยบฮุนเซนถึงประเทศกัมพูชาอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทุกครั้งที่มีเหตุกับเขมร ไม่ว่ารัฐบาลยุคไหน นายกฯ หรือรัฐมนตรีของไทยต้องบินไปเจรจากับเขมรแทบทุกครั้ง
ศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2555 รัฐมนตรีกลาโหม พลเอกสุกำพล สุวรรณทัต และผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้ทำพิธีปรับกำลังทหารโดยถอนทหารออกบางจุดและให้ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทำหน้าที่แทน ท่ามกลางความกังขาของทั้งทหารเองและภาคประชาชนที่ติดตามเรื่องความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหารมาอย่างต่อเนื่อง
การอ้างคำสั่งศาลโลกให้ถอนทหารทั้งสองฝ่าย ไทยจึงต้องทำตามที่รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวอ้างนั้น คนที่ได้แผ่นดินไทยไปคือเขมร ไทยต้องถอยออกมาจากแผ่นดินของตนเอง ซึ่งมีการประกาศชัดเจนในราชกิจจานุเบกษาแล้วว่า บริเวณเขาพระวิหารทั้งหมดตลอดแนวสันปันน้ำ คือพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นเขตแดนของไทยอย่างชัดเจนตามแผนที่แนบท้ายประกาศ
ประชาชนคนไทยเข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทั้งที่บางแห่งอุทยานประกาศทับที่ดินของชาวบ้าน แต่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี หลายรายถูกคุมขังในคุก นายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กลับปล่อยปละละเลยให้เขมรเข้ามาบุกรุกพื้นที่ ก่อสร้างวัด ชุมชน พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นฝ่ายเปิดประตูให้โจรมาก่อนจึงพูดอะไรได้ไม่เต็มปาก
ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกฯ และต่อเนื่องมาถึงสมัยนายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เปิดทางให้เขมรเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย
การกระทำที่ต่อเนื่องของบุคคลทั้งหมด เดินมาถึงจุดที่เราต้องเป็นเบี้ยล่างเขมรจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าจะไม่ยอมเสียดินแดนก็มีทางเดียวคือขับไล่เขมรออกไปทั้งหมดตลอดแนวชายแดน ทั้งทหารและประชาชนเขมร (ซึ่งที่จริงแล้วก็คือครอบครัวของทหารเขมรทั้งนั้น)
การออกคำสั่งแบบโง่ๆ อย่างกล้าหาญของนายกฯ ที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครั้งนี้ เท่ากับยอมยกแผ่นดินบริเวณรอบเขาพระวิหารให้เป็นของเขมรอย่างชัดแจ้ง เข้าข่ายเป็นกบฏต่อแผ่นดินและเป็นคนขายชาติ
ทหารไทยที่เคยสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล และร้องเพลงชาติไทยอยู่ทุกวัน ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ ตอบได้เพียงทหารต้องฟังคำสั่งจากรัฐบาลเท่านั้น ถ้ารัฐบาลขายชาติทหารก็พร้อมขายด้วยเช่นนั้นหรือ จะเขียนไว้หน้าค่ายทำไมว่า “จะเป็นทหารของชาติและประชาชน” ประชาชนของท่านคือใครกันแน่
ผลประโยชน์ของชาติและแผ่นดินกลับกลายเป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของพี่ชายที่หนีคดีอยู่ต่างแดน และสิ่งที่ยิ่งลักษณ์ทำก็คือคำสั่งจากคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง
มีพลเอกแห่งกองทัพไทยท่านหนึ่งพูดว่า “เราไม่ควรรบกับเขมร เพราะเขามีทั้งจีนและอเมริกาหนุนหลังอยู่” แล้วฝ่ายความมั่นคงของไทยทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงทำงานการเมืองระหว่างประเทศไม่เป็น ถ้ารู้จักจีนและอเมริกาจริง ลองให้เขาเลือกดูระหว่างผลประโยชน์ในปัจจุบันของทั้งสองชาติ เขาจะสนใจประเทศใดมากกว่ากัน
เกิดเป็นทหาร แต่ยอมจำนนตั้งแต่ยังไม่รบ เอาปืนไปเผาเสียดีกว่า แล้วอย่าลืมเอากระบี่ไปคืนด้วย เดี๋ยวมันจะทิ่มอกตัวเอง ลากไปตามงานต่างๆ ก็เกะกะเปล่าๆ
ใครรานใครรุกด้าวแดนไทย
ไทยรบจนสุดใจขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหลยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้นชื่อก้องเกียรติงามฯ
อ่านโคลงบทนี้แล้วน้ำตาจะไหล ได้รับคำปลอบใจจากรุ่นพี่ที่เป็นนายทหารอาวุโสท่านหนึ่งที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนว่า “วันหนึ่งถ้าแผ่นดินนี้เปลี่ยนแปลง คนขายชาติทั้งหลายต้องถูกขึ้นศาลเขมร โทษมีสถานเดียวคือ ประหารชีวิตทั้งโคตร”