ASTVผู้จัดการรายวัน - กคช.ร่วมกับบตท.เดินหน้าโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนวงเงินกว่า 10,000 ล้านบาท เตรียมออกตราสารหนี้ลอตแรก วงเงิน 6,000 ล้านบาท ไตรมาส 1/56 ล่าสุดแต่งตั้งแบงก์กรุงเทพฯและ HSBC เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ด้านกคช.เผยนำเงินใช้หนี้โครงการบ้านเอื้ออาทรที่จะครบกำหนดในปีหน้ากว่า 10,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 3.8 หมื่นล้านบาท
นายวิฑูรย์ เจียสกุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า จากพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย การจัดหาแหล่งเงิน และการแปลงสินทรัพย์สินหลักทรัพย์ ระหว่าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ บตท. และการเคหะแห่งชาติ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด มีบทสรุปว่า จะนำลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีประวัติการผ่อนชำระดีอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี วงเงิน 10,000 ล้านบาท มาแปลงเป็นหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บตท.คาดว่าจะออกตราสารหนี้ประเภท ABS หรือ Asset Backed Securities และ MBS หรือ Mortgage Backed Securities ซึ่งเป็นตราสารที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยจะนำลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อที่มีระยะเวลาเช่าซื้อกับการเคหะมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี จากปกติการเคหะจะทำสินเชื่อเช่าซื้อในโครงการบ้านเอื้ออาทรนาน 5 ปี โดยเมื่อลูกหนี้เหล่านี้ครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อ ก็จะนำลูกหนี้เหล่านี้ทำ MBS ต่อ สำหรับลอตแรกจะออกตราสารหนี้วงเงิน 6,000 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2556 และอีก 4,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/2556 โดยจะเสนอขายในแก่นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนในวงจำกัด ส่วนระยะเวลาของตราสารหนี้นั้นขึ้นอยู่กับสัญญาเช่าซื้อของลูกหนี้ที่มีต่อการเคหะฯ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะอ้างอิงในตลาดช่วงที่ออกตราสารหนี้ ล่าสุดได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพฯ และ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่นเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในครั้งนี้ถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดของกคช. ซึ่งปัจจุบันสินทรัพย์ของบ้านเอื้ออาทรนับวันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งสินทรัพย์ที่นำมาออกตราสารหนี้ในครั้งนี้ถือเป็นล็อตแรก หากประสบความสำเร็จ กคช.ก็จะมีแนวทางในการระดมเงินทุนเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลางออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกตราสารหนี้ในครั้งนี้จำนวน 10,000 ล้านบาท กคช.มีแผนที่จะนำไปลดหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ปัจจุบันมีจำนวน 38,000 ล้านบาท โดยจะครบกำหนดชำระในปี 2556 จำนวนกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนมูลหนี้ที่เหลือจะทยอยครบกำหนดชำระในปีถัดไป
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า เมื่อลดภาระหนี้ที่เกิดจากโครงการบ้านเอื้ออาทรลงแล้ว ก็จะทำให้กคช.มีความคล่องตัวในการบริหารงานได้มากขึ้น พร้อมกับเตรียมพัฒนา “บ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย โครงการ 2” จำนวน 50,000 หน่วย ราคาไม่เกิน 600,000 บาท/หน่วย ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีก 120,000 บาท/หน่วย มูลค่าโครงการประมาณ 25,000 -30,000 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 56 นี้.
นายวิฑูรย์ เจียสกุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า จากพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย การจัดหาแหล่งเงิน และการแปลงสินทรัพย์สินหลักทรัพย์ ระหว่าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ บตท. และการเคหะแห่งชาติ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด มีบทสรุปว่า จะนำลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีประวัติการผ่อนชำระดีอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี วงเงิน 10,000 ล้านบาท มาแปลงเป็นหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บตท.คาดว่าจะออกตราสารหนี้ประเภท ABS หรือ Asset Backed Securities และ MBS หรือ Mortgage Backed Securities ซึ่งเป็นตราสารที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยจะนำลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อที่มีระยะเวลาเช่าซื้อกับการเคหะมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี จากปกติการเคหะจะทำสินเชื่อเช่าซื้อในโครงการบ้านเอื้ออาทรนาน 5 ปี โดยเมื่อลูกหนี้เหล่านี้ครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อ ก็จะนำลูกหนี้เหล่านี้ทำ MBS ต่อ สำหรับลอตแรกจะออกตราสารหนี้วงเงิน 6,000 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2556 และอีก 4,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/2556 โดยจะเสนอขายในแก่นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนในวงจำกัด ส่วนระยะเวลาของตราสารหนี้นั้นขึ้นอยู่กับสัญญาเช่าซื้อของลูกหนี้ที่มีต่อการเคหะฯ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะอ้างอิงในตลาดช่วงที่ออกตราสารหนี้ ล่าสุดได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพฯ และ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่นเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในครั้งนี้ถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดของกคช. ซึ่งปัจจุบันสินทรัพย์ของบ้านเอื้ออาทรนับวันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งสินทรัพย์ที่นำมาออกตราสารหนี้ในครั้งนี้ถือเป็นล็อตแรก หากประสบความสำเร็จ กคช.ก็จะมีแนวทางในการระดมเงินทุนเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลางออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกตราสารหนี้ในครั้งนี้จำนวน 10,000 ล้านบาท กคช.มีแผนที่จะนำไปลดหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ปัจจุบันมีจำนวน 38,000 ล้านบาท โดยจะครบกำหนดชำระในปี 2556 จำนวนกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนมูลหนี้ที่เหลือจะทยอยครบกำหนดชำระในปีถัดไป
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า เมื่อลดภาระหนี้ที่เกิดจากโครงการบ้านเอื้ออาทรลงแล้ว ก็จะทำให้กคช.มีความคล่องตัวในการบริหารงานได้มากขึ้น พร้อมกับเตรียมพัฒนา “บ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย โครงการ 2” จำนวน 50,000 หน่วย ราคาไม่เกิน 600,000 บาท/หน่วย ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีก 120,000 บาท/หน่วย มูลค่าโครงการประมาณ 25,000 -30,000 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 56 นี้.