ยินดีกับองค์การพิทักษ์สยามที่จัดชุมนุมครั้งแรกก็สำเร็จในเชิงปริมาณ ต่างกับก่อนหน้านี้ที่กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มหมอตุลย์ พยายามปลุกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่การที่คาดหวังว่าจะให้ประชาชน “ลุกขึ้นสู้” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมนั้น เป็นคำถามว่าจะเกิดขึ้นได้จริงไหมในสังคมไทย
ผมดูกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนามม้าแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นมวลชนพันธมิตรฯ ส่วนหนึ่งเป็นมวลชนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
เต็มที่ก็ประมาณ 2 หมื่นคน ยังไม่มากเท่าตอนที่พันธมิตรฯ พีค แต่ต่อให้นัดครั้งหน้ามีมากเท่าตอนนั้นหรือมากกว่าตอนพันธมิตรฯ พีคสองสามเท่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ถึงขนาดที่เรียกว่า ประชาชนปฏิวัติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ผมว่านี่เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และพวกต้องตระหนัก เพราะพันธมิตรฯ เคยมีบทเรียนมาแล้ว และต้องพูดและยอมรับความจริงว่า แต่ละครั้งของพันธมิตรฯ ต้องชุมนุมยืดเยื้อไปอย่างไม่รู้จุดจบ แต่มีสถานการณ์และโชคช่วยให้พันธมิตรฯ มีทางลง เพราะปัจจัยทางกฎหมายมาช่วยทุกครั้ง
“ม้วนเดียวจบ” เป็นคำพูดในเชิงจิตวิทยาเสียมากกว่า
และต้องไม่ลืมว่า เกมจัดตั้งมวลชนนั้นทักษิณกับพวกก็ทำได้ และชั่วโมงนี้น่าจะทำได้มากกว่าในเชิงปริมาณด้วยซ้ำไป
มีโอกาสสูงที่ประชาชนจะปะทะกับประชาชน
ผมว่าเป้าหมายของการชุมนุมที่เสธ.อ้ายประกาศว่า จะแช่แข็งประเทศ 5 ปีนั้นขัดใจพลพรรคแมลงสาบแน่ๆ และดูจะสอดคล้องกับแนวทางปฏิรูปนักการเมืองของพันธมิตรฯ มากกว่า
แต่เอาเข้าจริงๆ ให้ได้ถึงขั้นนั้นต้องยอมรับว่า แค่ประชาชนลุกขึ้นสู้แล้วให้เป้าหมายสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก มันต้องมี “อะไรที่มากกว่านั้น”
และต้องไม่ประมาทความเข้มแข็งในช่วงหลายปีของการจัดตั้งมวลชนเสื้อแดงบวกกับอำนาจรัฐและรัฐตำรวจด้วย
แต่ “อะไรที่มากกว่านั้น” โดยมีประชาชน “ลุกขึ้นสู้” เป็นธงนำนั้น หรือ “ประชาชนปฏิวัติ” บอกตรงๆ ว่าผมได้ยินมาหลายปีแล้ว มันยากที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริง
อวยพรเสธ.อ้ายกับพวกทำให้ได้จริงๆ เสียทีเหอะ
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับเป้าหมายหลัก 3 ข้อของเสธ.อ้ายว่า กำลังเป็นมหันตภัยของชาติ
1. สถาบันหลักของชาติที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนถูกบ่อนทำลายและจาบจ้วงมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางฝ่ายและบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่ดำเนินการจัดการอย่างจริงจัง และมีแนวโน้มทวีมากยิ่งขึ้นทุกวัน
2. นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาหลักของชาติได้แล้วยังกลับอาศัยอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสร้างอำนาจและความร่ำรวยเพิ่มขึ้นบนความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน และสร้างวิกฤตให้กับประเทศชาติถึงขั้นใกล้วิบัติล่มจม
3. เกิดการทุจริตคอร์รัปชันทุกระดับในรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีและบุคคลที่เป็นเครือญาติของนายกรัฐมนตรีและพี่ชาย โดยเฉพาะอภิมหาโครงการในการแก้ปัญหาน้ำท่วม และโครงการรับจำนำข้าวจากนโยบายประชานิยมที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท
จริงๆ อยู่ทั้งสามข้อเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในรัฐบาลชุดนี้ แต่เล่นกับรัฐบาลที่มีความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้งนั้น เสธ.อ้ายและพวกต้องมีอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าวาทกรรมที่ยกขึ้นมาลอยๆ
แต่เอาเถอะถ้านับนี่เป็นการเริ่มต้น ก็ต้องถือว่า ม็อบสนามม้าขององค์การพิทักษ์สยามจุดติดตั้งแต่ไม้ขีดไฟก้านแรก
เดิมตั้งใจจะถามว่า เสธ.อ้ายจะทำอย่างไรต่อไป
ก็ได้ยินคำตอบจากเสธ.อ้ายผ่านรายการนิวส์ฮาวของเติมศักดิ์ จารุปราณ ว่า ถ้านัดเที่ยวหน้ามาไม่ถึงล้านก็เลิกกัน
ถามผมว่า รู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเสธ.อ้าย ผมว่าดีครับ เพราะบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่แค่คนสองหมื่นคนหรือต่อให้สองแสนคน
ถ้าจะเอาคนสองหมื่นคน (หรือต่อให้สองแสนคน) ไปชุมนุมหน้าทำเนียบฯ คำตอบก็คือ พันธมิตรฯ เคยทำมาแล้ว มันเดินหน้าไปสู่จุดจบและเป้าหมายไม่ได้
และมันไม่คุ้มกับที่ใครจะบาดเจ็บและล้มตายอีก
ผมบอกให้ก็ได้ว่า การตัดสินใจในระยะหลังของแกนนำพันธมิตรฯ ตระหนักในเรื่องนี้เป็นหลัก พี่น้องเราต้องไม่บาดเจ็บล้มตายอีก
จำวันที่เราเข้าทำเนียบฯ ได้ไหมครับ คนมาเป็นแสนๆ แบ่งคนไปเอ็นบีที ไปกระทรวงการคลัง ไปกระทรวงเกษตรฯ อุตสาหกรรม คนก็ยังเหลือพอที่จะล้อมทำเนียบฯ ล้นมัฆวานฯ เลี้ยวไปหน้าวัดโสมฯ อ้อมไปถึงหน้าสนามม้า วนกลับมาถนนพิษณุโลกที่หน้าทำเนียบฯ แล้วยังไงเหรอครับ ถ้ารัฐบาลยังเฉย และคนที่มีอำนาจเหนือในบ้านนี้เมืองนี้ยังเฉย
สุดท้ายก็ต้องอยู่อีกเป็นเดือนๆ เข้าทำเนียบฯ จนต้องหนีตายไปสุวรรณภูมิ เพราะถูกยิงถล่มด้วยเอ็ม 79 ตายทุกวัน ตำรวจก็ไม่ทำคดี
แม้ว่าบ้านเมืองนี้เรื่องหนึ่งล้านคนตามคำเรียกร้องของเสธ.อ้ายจะเป็นเรื่องที่ยากและไกลเกินฝัน
อย่างไรก็ตาม ผมรอลุ้นให้มวลชนมาล้านคนตามความฝันของเสธ.อ้ายนะครับ แต่ไม่อยากเห็นพวกเราตายและเจ็บอีกแล้วครับ
ดังนั้น จังหวะก้าวของเสธ.อ้ายนับจากนี้ต้องระวังให้มาก เพราะจะมีคนวิ่งเข้ามาห้อมล้อมมาก หลายคนมีของกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกาะขบวนการเพื่ออยากดัง พวกปีนบันได พวกเห็นมวลชนแล้วเร่าร้อน หรือมีวาระซ่อนเร้นชักนำให้กระทำการต่างๆ เพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ที่ต้องระวังที่สุดก็คือ การชักนำไปให้ปฏิบัติการรุนแรงเพื่อให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตาย ท่วงทำนองว่า ต้องขยับมวลชนแบบนี้ไปตรงนั้นตรงนี้ เพื่อเป็นการจุดชนวน ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเดี๋ยวจะมีคนออกมาขานรับ ซึ่งไม่คุ้มกับการเอาชีวิตพี่น้องร่วมอุดมการณ์ไปแลก
บทเรียนที่ชัดเจนที่สุดก็คือ คนเสื้อแดงซึ่งเชื่อว่า การเสียชีวิตจะนำไปสู่ชัยชนะและการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน พวกเขาจึงใช้ชีวิตของมวลชนเป็นกระดานไปสู่เป้าหมาย ตามหาศพมาตั้งแต่เมษายนปี 2552 เพิ่งจะเป็นจริงเมื่อพฤษภา 2553 แต่ศพของมวลชนก็ไม่ใช่นำมาสู่ชัยชนะ พวกเขาพ่ายแพ้เกมการเมืองบนถนน เพียงแต่มาชนะในเกมการเลือกตั้งเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้ในระดับนำของคนเสื้อแดงก็มีการทะเลาะกันเรื่องนี้ หลายคนไม่อยากให้มวลชนสูญเสีย จึงกระโดดลงจากขบวนรถไฟเสียก่อน แต่หลายคนไม่ฟังเห็นว่าชีวิตและความตายของมวลชนจะนำไปสู่ชัยชนะที่มากกว่านั้น นี่เป็นสิ่งที่วิสา คัญทัพ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง เคยเขียนเปิดโปงพวกเดียวกันไว้
คนเคยผ่านโรงเรียนเสนาธิการอย่างเสธ.อ้ายคงจะตระหนักเรื่องแบบนี้ดี และคงเห็นว่าชีวิตมวลชนเป็นเรื่องสำคัญกว่าอื่นใด ที่สำคัญต้องจำให้มั่นว่าพวกเขาเป็นประชาชนไม่ใช่ทหาร
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่พันธมิตรฯ ยึดมั่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ย้ำบนเวทีเสมอ จำได้ครั้งหนึ่งที่มีข่าวว่าจะมีการเข้ามาสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีสั่งให้ทุกคนห้ามต่อสู้ ห้ามใช้อาวุธ เมื่อตำรวจเข้ามาให้ทุกคนนั่งลงให้เขามาอุ้มพวกเราไป วันนั้นพวกเรานั่งรอตำรวจเข้ามากันเต็มทำเนียบฯ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเข้ามาสลายการชุมนุมแต่อย่างใด
ขอให้เสธ.อ้ายทำให้สำเร็จเถอะครับ แต่ต้องตระหนักด้วยว่า ชีวิตของมวลชนย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
แต่การที่คาดหวังว่าจะให้ประชาชน “ลุกขึ้นสู้” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมนั้น เป็นคำถามว่าจะเกิดขึ้นได้จริงไหมในสังคมไทย
ผมดูกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนามม้าแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นมวลชนพันธมิตรฯ ส่วนหนึ่งเป็นมวลชนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
เต็มที่ก็ประมาณ 2 หมื่นคน ยังไม่มากเท่าตอนที่พันธมิตรฯ พีค แต่ต่อให้นัดครั้งหน้ามีมากเท่าตอนนั้นหรือมากกว่าตอนพันธมิตรฯ พีคสองสามเท่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ถึงขนาดที่เรียกว่า ประชาชนปฏิวัติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ผมว่านี่เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และพวกต้องตระหนัก เพราะพันธมิตรฯ เคยมีบทเรียนมาแล้ว และต้องพูดและยอมรับความจริงว่า แต่ละครั้งของพันธมิตรฯ ต้องชุมนุมยืดเยื้อไปอย่างไม่รู้จุดจบ แต่มีสถานการณ์และโชคช่วยให้พันธมิตรฯ มีทางลง เพราะปัจจัยทางกฎหมายมาช่วยทุกครั้ง
“ม้วนเดียวจบ” เป็นคำพูดในเชิงจิตวิทยาเสียมากกว่า
และต้องไม่ลืมว่า เกมจัดตั้งมวลชนนั้นทักษิณกับพวกก็ทำได้ และชั่วโมงนี้น่าจะทำได้มากกว่าในเชิงปริมาณด้วยซ้ำไป
มีโอกาสสูงที่ประชาชนจะปะทะกับประชาชน
ผมว่าเป้าหมายของการชุมนุมที่เสธ.อ้ายประกาศว่า จะแช่แข็งประเทศ 5 ปีนั้นขัดใจพลพรรคแมลงสาบแน่ๆ และดูจะสอดคล้องกับแนวทางปฏิรูปนักการเมืองของพันธมิตรฯ มากกว่า
แต่เอาเข้าจริงๆ ให้ได้ถึงขั้นนั้นต้องยอมรับว่า แค่ประชาชนลุกขึ้นสู้แล้วให้เป้าหมายสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก มันต้องมี “อะไรที่มากกว่านั้น”
และต้องไม่ประมาทความเข้มแข็งในช่วงหลายปีของการจัดตั้งมวลชนเสื้อแดงบวกกับอำนาจรัฐและรัฐตำรวจด้วย
แต่ “อะไรที่มากกว่านั้น” โดยมีประชาชน “ลุกขึ้นสู้” เป็นธงนำนั้น หรือ “ประชาชนปฏิวัติ” บอกตรงๆ ว่าผมได้ยินมาหลายปีแล้ว มันยากที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริง
อวยพรเสธ.อ้ายกับพวกทำให้ได้จริงๆ เสียทีเหอะ
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับเป้าหมายหลัก 3 ข้อของเสธ.อ้ายว่า กำลังเป็นมหันตภัยของชาติ
1. สถาบันหลักของชาติที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนถูกบ่อนทำลายและจาบจ้วงมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางฝ่ายและบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่ดำเนินการจัดการอย่างจริงจัง และมีแนวโน้มทวีมากยิ่งขึ้นทุกวัน
2. นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาหลักของชาติได้แล้วยังกลับอาศัยอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสร้างอำนาจและความร่ำรวยเพิ่มขึ้นบนความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน และสร้างวิกฤตให้กับประเทศชาติถึงขั้นใกล้วิบัติล่มจม
3. เกิดการทุจริตคอร์รัปชันทุกระดับในรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีและบุคคลที่เป็นเครือญาติของนายกรัฐมนตรีและพี่ชาย โดยเฉพาะอภิมหาโครงการในการแก้ปัญหาน้ำท่วม และโครงการรับจำนำข้าวจากนโยบายประชานิยมที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท
จริงๆ อยู่ทั้งสามข้อเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในรัฐบาลชุดนี้ แต่เล่นกับรัฐบาลที่มีความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้งนั้น เสธ.อ้ายและพวกต้องมีอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าวาทกรรมที่ยกขึ้นมาลอยๆ
แต่เอาเถอะถ้านับนี่เป็นการเริ่มต้น ก็ต้องถือว่า ม็อบสนามม้าขององค์การพิทักษ์สยามจุดติดตั้งแต่ไม้ขีดไฟก้านแรก
เดิมตั้งใจจะถามว่า เสธ.อ้ายจะทำอย่างไรต่อไป
ก็ได้ยินคำตอบจากเสธ.อ้ายผ่านรายการนิวส์ฮาวของเติมศักดิ์ จารุปราณ ว่า ถ้านัดเที่ยวหน้ามาไม่ถึงล้านก็เลิกกัน
ถามผมว่า รู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเสธ.อ้าย ผมว่าดีครับ เพราะบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไม่ได้แน่แค่คนสองหมื่นคนหรือต่อให้สองแสนคน
ถ้าจะเอาคนสองหมื่นคน (หรือต่อให้สองแสนคน) ไปชุมนุมหน้าทำเนียบฯ คำตอบก็คือ พันธมิตรฯ เคยทำมาแล้ว มันเดินหน้าไปสู่จุดจบและเป้าหมายไม่ได้
และมันไม่คุ้มกับที่ใครจะบาดเจ็บและล้มตายอีก
ผมบอกให้ก็ได้ว่า การตัดสินใจในระยะหลังของแกนนำพันธมิตรฯ ตระหนักในเรื่องนี้เป็นหลัก พี่น้องเราต้องไม่บาดเจ็บล้มตายอีก
จำวันที่เราเข้าทำเนียบฯ ได้ไหมครับ คนมาเป็นแสนๆ แบ่งคนไปเอ็นบีที ไปกระทรวงการคลัง ไปกระทรวงเกษตรฯ อุตสาหกรรม คนก็ยังเหลือพอที่จะล้อมทำเนียบฯ ล้นมัฆวานฯ เลี้ยวไปหน้าวัดโสมฯ อ้อมไปถึงหน้าสนามม้า วนกลับมาถนนพิษณุโลกที่หน้าทำเนียบฯ แล้วยังไงเหรอครับ ถ้ารัฐบาลยังเฉย และคนที่มีอำนาจเหนือในบ้านนี้เมืองนี้ยังเฉย
สุดท้ายก็ต้องอยู่อีกเป็นเดือนๆ เข้าทำเนียบฯ จนต้องหนีตายไปสุวรรณภูมิ เพราะถูกยิงถล่มด้วยเอ็ม 79 ตายทุกวัน ตำรวจก็ไม่ทำคดี
แม้ว่าบ้านเมืองนี้เรื่องหนึ่งล้านคนตามคำเรียกร้องของเสธ.อ้ายจะเป็นเรื่องที่ยากและไกลเกินฝัน
อย่างไรก็ตาม ผมรอลุ้นให้มวลชนมาล้านคนตามความฝันของเสธ.อ้ายนะครับ แต่ไม่อยากเห็นพวกเราตายและเจ็บอีกแล้วครับ
ดังนั้น จังหวะก้าวของเสธ.อ้ายนับจากนี้ต้องระวังให้มาก เพราะจะมีคนวิ่งเข้ามาห้อมล้อมมาก หลายคนมีของกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกาะขบวนการเพื่ออยากดัง พวกปีนบันได พวกเห็นมวลชนแล้วเร่าร้อน หรือมีวาระซ่อนเร้นชักนำให้กระทำการต่างๆ เพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ที่ต้องระวังที่สุดก็คือ การชักนำไปให้ปฏิบัติการรุนแรงเพื่อให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตาย ท่วงทำนองว่า ต้องขยับมวลชนแบบนี้ไปตรงนั้นตรงนี้ เพื่อเป็นการจุดชนวน ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเดี๋ยวจะมีคนออกมาขานรับ ซึ่งไม่คุ้มกับการเอาชีวิตพี่น้องร่วมอุดมการณ์ไปแลก
บทเรียนที่ชัดเจนที่สุดก็คือ คนเสื้อแดงซึ่งเชื่อว่า การเสียชีวิตจะนำไปสู่ชัยชนะและการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน พวกเขาจึงใช้ชีวิตของมวลชนเป็นกระดานไปสู่เป้าหมาย ตามหาศพมาตั้งแต่เมษายนปี 2552 เพิ่งจะเป็นจริงเมื่อพฤษภา 2553 แต่ศพของมวลชนก็ไม่ใช่นำมาสู่ชัยชนะ พวกเขาพ่ายแพ้เกมการเมืองบนถนน เพียงแต่มาชนะในเกมการเลือกตั้งเท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้ในระดับนำของคนเสื้อแดงก็มีการทะเลาะกันเรื่องนี้ หลายคนไม่อยากให้มวลชนสูญเสีย จึงกระโดดลงจากขบวนรถไฟเสียก่อน แต่หลายคนไม่ฟังเห็นว่าชีวิตและความตายของมวลชนจะนำไปสู่ชัยชนะที่มากกว่านั้น นี่เป็นสิ่งที่วิสา คัญทัพ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง เคยเขียนเปิดโปงพวกเดียวกันไว้
คนเคยผ่านโรงเรียนเสนาธิการอย่างเสธ.อ้ายคงจะตระหนักเรื่องแบบนี้ดี และคงเห็นว่าชีวิตมวลชนเป็นเรื่องสำคัญกว่าอื่นใด ที่สำคัญต้องจำให้มั่นว่าพวกเขาเป็นประชาชนไม่ใช่ทหาร
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่พันธมิตรฯ ยึดมั่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ย้ำบนเวทีเสมอ จำได้ครั้งหนึ่งที่มีข่าวว่าจะมีการเข้ามาสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีสั่งให้ทุกคนห้ามต่อสู้ ห้ามใช้อาวุธ เมื่อตำรวจเข้ามาให้ทุกคนนั่งลงให้เขามาอุ้มพวกเราไป วันนั้นพวกเรานั่งรอตำรวจเข้ามากันเต็มทำเนียบฯ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเข้ามาสลายการชุมนุมแต่อย่างใด
ขอให้เสธ.อ้ายทำให้สำเร็จเถอะครับ แต่ต้องตระหนักด้วยว่า ชีวิตของมวลชนย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด