ขอแสดงความยินดีกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ 3 ที่ขณะนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต้องยอมรับว่า บรรยากาศทางการเมืองยามนี้ ไม่มีอะไรเร้าใจ ชวนติดตามไปกว่าการปรับ ครม. หลังจากมีการปรับไปแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้
เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเป็นผู้พิจารณาบุคคลที่มีความเหมาะสม มีพ้นออกไป มีใหม่เข้ามา
ที่เป็นเรื่องของประชาชน ก็คือ ผลของการปรับ เพราะเป็นผู้ได้รับผล (การกำหนดนโยบาย) จาก ครม.ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ภาพ ครม.ชุดใหม่ล่าสุด เป็นอย่างไร อยู่ที่มุมมอง นานาทัศนะ
ถือว่า เป็นผู้ที่ท่านนายกฯ เลือกแล้ว ด้วยเหตุผลที่คิดว่า ดีที่สุด
เหตุผลที่คิดว่า ดีที่สุด คืออะไรนั้น ไม่เป็นท่าน เราไม่รู้ ถ้าจะให้คาดเดา ก็คงจะระอุระคนด้วยเหตุผลทั้งด้านงาน ด้านการเมือง และอื่นๆ
ที่แน่ๆ ต้องคิดหลายชั้น มองหลายมิติ
กว่าจะคัดสรร คัดกรอง กระทั่งตกผลึกรูปโฉม ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ออกมาได้ขนาดนี้ ถือว่าสุดๆ แล้ว
สุดๆ บนเงื่อนไข ข้อจำกัด และแรงกดดันทางการเมือง ถึงบอกว่า ต้องคิดหลายชั้น มองหลายมิติ อาจมิใช่ ครม.ดีที่สุด แต่เหมาะสมที่สุดเท่าที่สภาพการณ์กลไกการเมืองอย่างที่เห็นและเป็นไป
อันนี้ก็ให้เห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีสุดๆ เช่นกัน
มิติด้านงานว่ายาก มิติด้านการเมืองยากกว่า
มิติด้านการเมืองว่ายากกว่า แต่มิติด้าน (การทำงานให้) ประชาชนยากที่สุด
เพราะผิดพลาดพลั้งไป ประชาชนไม่พอใจผลงาน เลือกตั้งสมัยหน้าก็อาจมีปัญหาได้ แต่หากทำดี ประชาชนก็พร้อมหนุนให้เป็น ครม.รัฐบาลอีก
จากนี้ประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลจาก ครม.อย่างไร ต้องติดตาม ซึ่งแน่นอนย่อมมีทั้งผลสำเร็จ ผลกระทบ แต่ทำอย่างไรจึงจะให้การกำหนดนโยบายเรื่องต่างๆ งานโครงการต่างๆของ ครม.ไปสู่การปฏิบัตินั้น ถูกใจประชาชนมากที่สุด และได้รับการตอบรับที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นโอกาสและความท้าทายไม่น้อย
หากทำได้ จะเป็น ครม.ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์โดนใจประชาชน
ประการแรก อยู่ที่การออกแบบนโยบาย
ถ้าทำดีๆ คิดนโยบายใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ ทำอะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่า ตรงเป้าหมายและทิศทาง โดยคำนึงถึงประชาชนแล้ว ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน เพราะส่งผลประชาชนมีคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากเดิม สังคมประเทศเจริญก้าวหน้า มีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศและโลกได้
ถ้าทำไม่ดี ไม่รอบด้าน คิดนโยบายไม่ดี ไม่เข้าท่า เป็นเหตุเป็นผลที่ดี ย่อมได้รับการปฏิเสธ ไม่สนับสนุนร่วมมือ ไม่เห็นด้วย เพราะยังผลให้ประชาชนเดือดร้อน เสียโอกาส
จึงควรออกแบบนโยบายให้ตรงทางเลือกและความจำเป็นของประชาชน
เชื่อมั่นว่า ครม.ทุกท่านตั้งใจทำงาน ทำอย่างไรจึงจะหาทางให้ประชาชนได้รับโอกาส และประโยชน์จากนโยบายรัฐ
ประชาชนได้ ครม.ได้
มีคำถามชวนคิด : จากนี้ ครม.จะทำอะไรให้ประชาชน เริ่มและจบอย่างไรให้สวย เหมาะสม ดูดี
ไม่เช่นนั้น ความเหมาะสมที่ท่านนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำนักย้ำหนาในการพิจารณาคัดสรร คัดกรอง ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ก็เป็นเพียงความเหมาะสมของการเมือง มิใช่ความเหมาะสมของประชาชน
จะไปห้ามประชาชนคิด ก็ไม่ได้ เพราะเห็นกันอยู่ สัมผัสกันได้
กลายเป็นว่า ครม.ได้ ประชาชนไม่ได้
ทำอย่างไร จึงจะเป็น ครม.ยุคใหม่ ที่เป็น ครม.นักคิดนโยบาย นักออกแบบนโยบาย เพื่อประชาชนและสังคมยุคใหม่
ความเหมาะสมของการเมืองนั้น ถูกต้อง ก็ว่าไป ไม่ได้ต้านอะไร แต่ก็ต้อง (ทำงาน) คำนึงถึงความเหมาะสมของประชาชน
ปรับ ครม.แล้ว อย่าลืมปรับการทำงานให้ประชาชนด้วย
ประการที่สอง การหาทางออกของปัญหา แบบดักปัญหา มิใช่ตามปัญหา
วันนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต ขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด แต่การแข่งขันสูงขึ้น และสูงขึ้น ถือเป็นอีกโจทย์ใหม่ มีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด ไม่เหมือนอดีต 10-20 ปีที่ผ่านมา ต้องใช้วิธีคิด และวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ จึงจะ “เอาอยู่”
ปัญหาวันนี้ไปไกล ช้าไม่ได้ และประชาชนก็ใช่จะรออีกแล้ว ทั้งมีส่วนร่วมการบริหารกิจการบ้านเมืองสูง ดีไม่ดี เจอต้าน ประท้วง ทวงถาม ปิดถนน เพราะเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อน หากช้า ยิ่งไม่ทันปัญหา ประชาชนก็ยิ่งลำบากขึ้นทุกวัน แล้วใคร เมื่อใดจะสลายทุกข์ให้ประชาชนได้
ครม.ยุคใหม่ จึงเป็นที่พึ่งพาพึ่งหวัง
เอาง่ายๆ เรื่องภัยแล้งจะเอาอย่างไร วันนี้เห็นพี่น้องประชาชน ราษฎรเอารถมาเข็นน้ำจากหน่วยราชการที่เข้าไปช่วยเหลืออีกแล้ว เป็นปัญหาซ้ำรอยปีแล้วปีเล่า เดือดร้อนกันไปทั่ว สงสารประชาชน ดังนั้น ครม.ยุคใหม่ จะคิดหาทางใหม่เพื่อแก้ปัญหา(เก่า)อย่างไร แล้วปัญหาใหม่อีกล่ะ
ซ้ำร้ายรถน้ำของหน่วยราชการที่เข้าไปช่วยเหลือ ก็มีน้อยอีก น้ำไม่พอ รอเข้าคิว เช่นนี้หากเกิดแย่งน้ำ ทำร้ายทำลายกันในตำบลหมู่บ้าน จะทำอย่างไร
ยังไม่นับมหาอุทกภัยที่ทำร้ายทำลายบิ๊กแบ็ก ไหนจะจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมล่าช้าที่ยังไม่จบ
ครม.ยุคใหม่จะดักปัญหาอย่างไร นี่คือ ชีวิตจริง เป็นคุณภาพชีวิตของประชาชน น้ำท่วม ภัยแล้ง ราษฎรชนบทห่างไกลเป็นอยู่อย่างไร ซึ่ง ครม.ต้องไปให้ถึง เข้าถึง เข้าใจ และหาทางออกให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ หากทำได้ ก็จะเป็น ครม.ในดวงใจประชาชน
แต่หากตามปัญหา แก้ปัญหาเป็นทีๆ ไป เดี๋ยวปีหน้าเอาอีกแล้ว ก็จะเป็นปัญหาภัยแล้งซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น รวมถึงปัญหาอื่นๆ ก็เช่นกัน นี่ยังไม่นับปัญหาใหม่ๆ โจทย์ใหม่ๆ ที่เข้ามา
ไหนจะต้องมีภารกิจด้านอื่นๆ อีก จะเสียเปรียบและเสียโอกาสในการแข่งขัน โดยเฉพาะกับต่างประเทศ
ปรับ ครม.ใหม่แล้ว ต้องทำให้ประชาชนใหม่ขึ้น
อย่างน้อยดีขึ้นกว่าเดิม ปัญหาลดลง หรือหมดไป ไม่งั้นดีไม่ดี อาจถูกทวงถามว่า ปรับเพื่อเปลี่ยนเก้าอี้ตอบแทนกันใน ครม.หรือไม่ ประการใด ไม่ได้เปลี่ยนเพื่อหาคนที่มีความสามารถใหม่ๆ เข้ามาทำงานให้ประชาชน
ซึ่งจะไปห้ามประชาชนไม่ให้มองอย่างนั้นก็ไม่ได้ หากไม่แสดงฝีมือการทำงานให้เห็นผลจริง
มีคำถามชวนคิด : เรามีการปรับ ครม.มาแล้วหลายครั้ง ยิ่งลักษณ์ 1-2 และล่าสุดยิ่งลักษณ์ 3 จะทำอย่างไรให้สมกับเป็น ครม.ยุคใหม่ สมกับที่ประชาชนรอคอย ให้รู้สึกเชื่อมั่นว่า เป็นที่พึ่งพา พึ่งหวังของสังคมประเทศ
ต้องยอมรับว่า วันนี้โจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายฝ่ายบริหาร
ครม.ชุดใหม่จะสนองความต้องการของประชาชนด้วยการข้ามช็อต คิดสร้างงานโครงการอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกแนวทางไปจาก ครม.ชุดก่อนๆ ที่ผ่านๆ มา เป็นอื่นไปไม่ได้ อยู่ที่วิสัยทัศน์ของ ครม.ยุคใหม่
สูงสุดของการเป็นข้าราชการการเมือง คือ การได้เป็นรัฐบาล ครม.มีอำนาจเต็มในการควบคุมสั่งการบริหารประเทศ ต้องใช้ประโยชน์เพื่อสร้างประโยชน์
แต่การฝ่าด่านเข้าไปเป็นรัฐบาล ครม.นั้น ไม่ง่าย เมื่อ ครม.ได้แล้ว จึงควรที่จะใช้โอกาส ครม.ชุดนี้ออกแบบนโยบาย สร้างงานโครงการใหม่ๆ ใน ครม. และประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะดีหรือไม่ ประการใด
สร้างสุข สลายทุกข์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
การออกแบบนโยบายว่ายาก การขับเคลื่อนนโยบายยากกว่า
ผลของการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติจริง จึงสำคัญ
ประการที่สาม การสื่อสารกับข้าราชการและประชาชน
สื่อสารกับข้าราชการในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยมองว่า ครม.สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกออกแบบนโยบายใน ครม.
ใบที่สอง เมื่อกลับไปนั่งว่าการที่กระทรวง
เพราะนายกรัฐมนตรี คนเดียวทำงานไม่ได้ ทำได้ก็ไม่ดี ถึงจะดีก็ทำไม่ไหว แม้มี ครม.ออกแบบนโยบาย และหาทางออกให้ปัญหา ก็ต้องมีตัวช่วยคือ รัฐมนตรีกระทรวง ในฐานะกำกับกลไกของรัฐ (กระทรวง กรม กอง ภาคส่วนราชการต่างๆ)
ปลัดกระทรวง จึงสำคัญ ในฐานะหัวขบวนกลไกของรัฐ
ครม.หรือรัฐมนตรี จึงต้องสื่อสารทำงานกับปลัดกระทรวง อธิบดีอย่างเข้าขา รู้ใจ เข้าใจให้มากขึ้นและใกล้ชิด การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติจริง จึงจะบรรลุผล
ถ้าเป็นไปได้ ครม.ยุคใหม่ ควรมอบอำนาจและการตัดสินใจให้ปลัดกระทรวง อธิบดีมากขึ้น เพราะวันนี้สถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อนขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวสูงสุด ทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่สำคัญ คือ ทันการณ์ มิใช่ปล่อยให้ประชาชนรอคอยความช่วยเหลือ
นอกจากสื่อสารกับข้าราชการแล้ว ยังต้องสื่อสารนโยบาย การแก้ปัญหาต่างๆ กับประชาชนด้วย ถ้าประชาชนรับรู้ เข้าใจก็ไหลรื่น
การบริหาร ถือเป็นศิลปะผู้นำ เป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ไม่ว่าใคร หากมีเหลี่ยมมุมการบริหารที่ดีกว่า ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จที่ดีกว่า
ใกล้ชิดก็เข้าใจ ห่างเหินก็ไม่รู้ใจ
ที่สำคัญ ต้องไว้วางใจกัน
ผู้เขียนประทับใจคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กล่าวในการประชุมปลัดกระทรวงที่โรงแรมเชอราตัน พัทยา เมื่อ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า “พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับปลัดกระทรวง โดยไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือประเทศชาติและประชาชน มีอะไรขอให้เปิดใจคุยกัน”
นอกจากเป็นศิลปะการบริหารแล้ว ยังเป็นศิลปะการสื่อสารของผู้นำ
ได้ใจ ได้งาน
เหมาะสมแล้วที่เป็นผู้นำ ครม.ยุคใหม่
ต้องยอมรับว่า บรรยากาศทางการเมืองยามนี้ ไม่มีอะไรเร้าใจ ชวนติดตามไปกว่าการปรับ ครม. หลังจากมีการปรับไปแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้
เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเป็นผู้พิจารณาบุคคลที่มีความเหมาะสม มีพ้นออกไป มีใหม่เข้ามา
ที่เป็นเรื่องของประชาชน ก็คือ ผลของการปรับ เพราะเป็นผู้ได้รับผล (การกำหนดนโยบาย) จาก ครม.ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ภาพ ครม.ชุดใหม่ล่าสุด เป็นอย่างไร อยู่ที่มุมมอง นานาทัศนะ
ถือว่า เป็นผู้ที่ท่านนายกฯ เลือกแล้ว ด้วยเหตุผลที่คิดว่า ดีที่สุด
เหตุผลที่คิดว่า ดีที่สุด คืออะไรนั้น ไม่เป็นท่าน เราไม่รู้ ถ้าจะให้คาดเดา ก็คงจะระอุระคนด้วยเหตุผลทั้งด้านงาน ด้านการเมือง และอื่นๆ
ที่แน่ๆ ต้องคิดหลายชั้น มองหลายมิติ
กว่าจะคัดสรร คัดกรอง กระทั่งตกผลึกรูปโฉม ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ออกมาได้ขนาดนี้ ถือว่าสุดๆ แล้ว
สุดๆ บนเงื่อนไข ข้อจำกัด และแรงกดดันทางการเมือง ถึงบอกว่า ต้องคิดหลายชั้น มองหลายมิติ อาจมิใช่ ครม.ดีที่สุด แต่เหมาะสมที่สุดเท่าที่สภาพการณ์กลไกการเมืองอย่างที่เห็นและเป็นไป
อันนี้ก็ให้เห็นใจท่านนายกรัฐมนตรีสุดๆ เช่นกัน
มิติด้านงานว่ายาก มิติด้านการเมืองยากกว่า
มิติด้านการเมืองว่ายากกว่า แต่มิติด้าน (การทำงานให้) ประชาชนยากที่สุด
เพราะผิดพลาดพลั้งไป ประชาชนไม่พอใจผลงาน เลือกตั้งสมัยหน้าก็อาจมีปัญหาได้ แต่หากทำดี ประชาชนก็พร้อมหนุนให้เป็น ครม.รัฐบาลอีก
จากนี้ประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลจาก ครม.อย่างไร ต้องติดตาม ซึ่งแน่นอนย่อมมีทั้งผลสำเร็จ ผลกระทบ แต่ทำอย่างไรจึงจะให้การกำหนดนโยบายเรื่องต่างๆ งานโครงการต่างๆของ ครม.ไปสู่การปฏิบัตินั้น ถูกใจประชาชนมากที่สุด และได้รับการตอบรับที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นโอกาสและความท้าทายไม่น้อย
หากทำได้ จะเป็น ครม.ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์โดนใจประชาชน
ประการแรก อยู่ที่การออกแบบนโยบาย
ถ้าทำดีๆ คิดนโยบายใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ ทำอะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่า ตรงเป้าหมายและทิศทาง โดยคำนึงถึงประชาชนแล้ว ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน เพราะส่งผลประชาชนมีคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากเดิม สังคมประเทศเจริญก้าวหน้า มีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศและโลกได้
ถ้าทำไม่ดี ไม่รอบด้าน คิดนโยบายไม่ดี ไม่เข้าท่า เป็นเหตุเป็นผลที่ดี ย่อมได้รับการปฏิเสธ ไม่สนับสนุนร่วมมือ ไม่เห็นด้วย เพราะยังผลให้ประชาชนเดือดร้อน เสียโอกาส
จึงควรออกแบบนโยบายให้ตรงทางเลือกและความจำเป็นของประชาชน
เชื่อมั่นว่า ครม.ทุกท่านตั้งใจทำงาน ทำอย่างไรจึงจะหาทางให้ประชาชนได้รับโอกาส และประโยชน์จากนโยบายรัฐ
ประชาชนได้ ครม.ได้
มีคำถามชวนคิด : จากนี้ ครม.จะทำอะไรให้ประชาชน เริ่มและจบอย่างไรให้สวย เหมาะสม ดูดี
ไม่เช่นนั้น ความเหมาะสมที่ท่านนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำนักย้ำหนาในการพิจารณาคัดสรร คัดกรอง ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ก็เป็นเพียงความเหมาะสมของการเมือง มิใช่ความเหมาะสมของประชาชน
จะไปห้ามประชาชนคิด ก็ไม่ได้ เพราะเห็นกันอยู่ สัมผัสกันได้
กลายเป็นว่า ครม.ได้ ประชาชนไม่ได้
ทำอย่างไร จึงจะเป็น ครม.ยุคใหม่ ที่เป็น ครม.นักคิดนโยบาย นักออกแบบนโยบาย เพื่อประชาชนและสังคมยุคใหม่
ความเหมาะสมของการเมืองนั้น ถูกต้อง ก็ว่าไป ไม่ได้ต้านอะไร แต่ก็ต้อง (ทำงาน) คำนึงถึงความเหมาะสมของประชาชน
ปรับ ครม.แล้ว อย่าลืมปรับการทำงานให้ประชาชนด้วย
ประการที่สอง การหาทางออกของปัญหา แบบดักปัญหา มิใช่ตามปัญหา
วันนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต ขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด แต่การแข่งขันสูงขึ้น และสูงขึ้น ถือเป็นอีกโจทย์ใหม่ มีความยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด ไม่เหมือนอดีต 10-20 ปีที่ผ่านมา ต้องใช้วิธีคิด และวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ จึงจะ “เอาอยู่”
ปัญหาวันนี้ไปไกล ช้าไม่ได้ และประชาชนก็ใช่จะรออีกแล้ว ทั้งมีส่วนร่วมการบริหารกิจการบ้านเมืองสูง ดีไม่ดี เจอต้าน ประท้วง ทวงถาม ปิดถนน เพราะเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อน หากช้า ยิ่งไม่ทันปัญหา ประชาชนก็ยิ่งลำบากขึ้นทุกวัน แล้วใคร เมื่อใดจะสลายทุกข์ให้ประชาชนได้
ครม.ยุคใหม่ จึงเป็นที่พึ่งพาพึ่งหวัง
เอาง่ายๆ เรื่องภัยแล้งจะเอาอย่างไร วันนี้เห็นพี่น้องประชาชน ราษฎรเอารถมาเข็นน้ำจากหน่วยราชการที่เข้าไปช่วยเหลืออีกแล้ว เป็นปัญหาซ้ำรอยปีแล้วปีเล่า เดือดร้อนกันไปทั่ว สงสารประชาชน ดังนั้น ครม.ยุคใหม่ จะคิดหาทางใหม่เพื่อแก้ปัญหา(เก่า)อย่างไร แล้วปัญหาใหม่อีกล่ะ
ซ้ำร้ายรถน้ำของหน่วยราชการที่เข้าไปช่วยเหลือ ก็มีน้อยอีก น้ำไม่พอ รอเข้าคิว เช่นนี้หากเกิดแย่งน้ำ ทำร้ายทำลายกันในตำบลหมู่บ้าน จะทำอย่างไร
ยังไม่นับมหาอุทกภัยที่ทำร้ายทำลายบิ๊กแบ็ก ไหนจะจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมล่าช้าที่ยังไม่จบ
ครม.ยุคใหม่จะดักปัญหาอย่างไร นี่คือ ชีวิตจริง เป็นคุณภาพชีวิตของประชาชน น้ำท่วม ภัยแล้ง ราษฎรชนบทห่างไกลเป็นอยู่อย่างไร ซึ่ง ครม.ต้องไปให้ถึง เข้าถึง เข้าใจ และหาทางออกให้ได้แบบเบ็ดเสร็จ หากทำได้ ก็จะเป็น ครม.ในดวงใจประชาชน
แต่หากตามปัญหา แก้ปัญหาเป็นทีๆ ไป เดี๋ยวปีหน้าเอาอีกแล้ว ก็จะเป็นปัญหาภัยแล้งซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น รวมถึงปัญหาอื่นๆ ก็เช่นกัน นี่ยังไม่นับปัญหาใหม่ๆ โจทย์ใหม่ๆ ที่เข้ามา
ไหนจะต้องมีภารกิจด้านอื่นๆ อีก จะเสียเปรียบและเสียโอกาสในการแข่งขัน โดยเฉพาะกับต่างประเทศ
ปรับ ครม.ใหม่แล้ว ต้องทำให้ประชาชนใหม่ขึ้น
อย่างน้อยดีขึ้นกว่าเดิม ปัญหาลดลง หรือหมดไป ไม่งั้นดีไม่ดี อาจถูกทวงถามว่า ปรับเพื่อเปลี่ยนเก้าอี้ตอบแทนกันใน ครม.หรือไม่ ประการใด ไม่ได้เปลี่ยนเพื่อหาคนที่มีความสามารถใหม่ๆ เข้ามาทำงานให้ประชาชน
ซึ่งจะไปห้ามประชาชนไม่ให้มองอย่างนั้นก็ไม่ได้ หากไม่แสดงฝีมือการทำงานให้เห็นผลจริง
มีคำถามชวนคิด : เรามีการปรับ ครม.มาแล้วหลายครั้ง ยิ่งลักษณ์ 1-2 และล่าสุดยิ่งลักษณ์ 3 จะทำอย่างไรให้สมกับเป็น ครม.ยุคใหม่ สมกับที่ประชาชนรอคอย ให้รู้สึกเชื่อมั่นว่า เป็นที่พึ่งพา พึ่งหวังของสังคมประเทศ
ต้องยอมรับว่า วันนี้โจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายฝ่ายบริหาร
ครม.ชุดใหม่จะสนองความต้องการของประชาชนด้วยการข้ามช็อต คิดสร้างงานโครงการอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกแนวทางไปจาก ครม.ชุดก่อนๆ ที่ผ่านๆ มา เป็นอื่นไปไม่ได้ อยู่ที่วิสัยทัศน์ของ ครม.ยุคใหม่
สูงสุดของการเป็นข้าราชการการเมือง คือ การได้เป็นรัฐบาล ครม.มีอำนาจเต็มในการควบคุมสั่งการบริหารประเทศ ต้องใช้ประโยชน์เพื่อสร้างประโยชน์
แต่การฝ่าด่านเข้าไปเป็นรัฐบาล ครม.นั้น ไม่ง่าย เมื่อ ครม.ได้แล้ว จึงควรที่จะใช้โอกาส ครม.ชุดนี้ออกแบบนโยบาย สร้างงานโครงการใหม่ๆ ใน ครม. และประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะดีหรือไม่ ประการใด
สร้างสุข สลายทุกข์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
การออกแบบนโยบายว่ายาก การขับเคลื่อนนโยบายยากกว่า
ผลของการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติจริง จึงสำคัญ
ประการที่สาม การสื่อสารกับข้าราชการและประชาชน
สื่อสารกับข้าราชการในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยมองว่า ครม.สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกออกแบบนโยบายใน ครม.
ใบที่สอง เมื่อกลับไปนั่งว่าการที่กระทรวง
เพราะนายกรัฐมนตรี คนเดียวทำงานไม่ได้ ทำได้ก็ไม่ดี ถึงจะดีก็ทำไม่ไหว แม้มี ครม.ออกแบบนโยบาย และหาทางออกให้ปัญหา ก็ต้องมีตัวช่วยคือ รัฐมนตรีกระทรวง ในฐานะกำกับกลไกของรัฐ (กระทรวง กรม กอง ภาคส่วนราชการต่างๆ)
ปลัดกระทรวง จึงสำคัญ ในฐานะหัวขบวนกลไกของรัฐ
ครม.หรือรัฐมนตรี จึงต้องสื่อสารทำงานกับปลัดกระทรวง อธิบดีอย่างเข้าขา รู้ใจ เข้าใจให้มากขึ้นและใกล้ชิด การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติจริง จึงจะบรรลุผล
ถ้าเป็นไปได้ ครม.ยุคใหม่ ควรมอบอำนาจและการตัดสินใจให้ปลัดกระทรวง อธิบดีมากขึ้น เพราะวันนี้สถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อนขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวสูงสุด ทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่สำคัญ คือ ทันการณ์ มิใช่ปล่อยให้ประชาชนรอคอยความช่วยเหลือ
นอกจากสื่อสารกับข้าราชการแล้ว ยังต้องสื่อสารนโยบาย การแก้ปัญหาต่างๆ กับประชาชนด้วย ถ้าประชาชนรับรู้ เข้าใจก็ไหลรื่น
การบริหาร ถือเป็นศิลปะผู้นำ เป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ไม่ว่าใคร หากมีเหลี่ยมมุมการบริหารที่ดีกว่า ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จที่ดีกว่า
ใกล้ชิดก็เข้าใจ ห่างเหินก็ไม่รู้ใจ
ที่สำคัญ ต้องไว้วางใจกัน
ผู้เขียนประทับใจคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กล่าวในการประชุมปลัดกระทรวงที่โรงแรมเชอราตัน พัทยา เมื่อ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า “พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับปลัดกระทรวง โดยไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือประเทศชาติและประชาชน มีอะไรขอให้เปิดใจคุยกัน”
นอกจากเป็นศิลปะการบริหารแล้ว ยังเป็นศิลปะการสื่อสารของผู้นำ
ได้ใจ ได้งาน
เหมาะสมแล้วที่เป็นผู้นำ ครม.ยุคใหม่