xs
xsm
sm
md
lg

โพลห่วง"ปู"ก่อหนี้สาธารณะ โกง-กู้ทั้งที่โครงการไม่พร้อม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 30 แห่ง จำนวน 67 คน เรื่อง “พ.ร.บ. กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จำเป็นหรือไม่” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 5–12 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.2 เห็นว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รองลงมาร้อยละ 35.8 เห็นว่าค่อนข้างมีความจำเป็น และมีเพียงร้อยละ 6.0 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลย
เมื่อถามต่อว่างบลงทุนที่รัฐบาลใช้ในปัจจุบันมีเพียงพอกับความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือไม่ ร้อยละ 46.3 เห็นว่ามีไม่เพียงพอ ขณะที่ร้อยละ 35.8 เห็นว่ามีเพียงพอแล้ว แต่เมื่อถามว่าโครงการของหน่วยงานต่างๆ ที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมเพียงใดกับการขอใช้เงินที่ออกโดย พ.ร.บ. กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานฯ นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 79.1 เห็นว่าโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการยังไม่มีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงร้อยละ 10.4 เท่านั้นที่เห็นว่าโครงการต่างๆ มีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่
สำหรับความรู้สึกกังวลในปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ร้อยละ 68.6 บอกว่า “กังวลมากถึงมากที่สุด” รองลงมาร้อยละ 28.4 บอกว่า “กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด” และเมื่อทำการเปรียบเทียบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการโดยใช้เงินจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้กับความจำเป็นในการออก พ.ร.บ. เพื่อนำเงินกู้มาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 44.8 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่าจึงไม่ควรออกกฏหมายฉบับนี้ ขณะที่ร้อยละ 41.8 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการกู้เงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าจึงควรออกกฏหมายฉบับนี้
สุดท้ายเมื่อถามว่าโดยสรุปแล้วเห็นด้วยหรือไม่กับการออก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ร้อยละ 47.8 บอกว่า “เห็นด้วย” ขณะที่ร้อยละ 23.9 บอกว่า “ไม่เห็นด้วย” นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยความโปร่งใส ให้ความสำคัญกับการป้องกันและลงโทษผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงควรสร้างระบบกำกับการใช้เงินอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบได้
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางท่านยืนยันว่ารัฐบาลไม่ควรออก พ.ร.บ. ฉบันนี้ เนื่องจากเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องของประชาชนมากกว่า รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะคืนทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น