ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และไทยทีวีสีช่อง 3 ต้นสังกัด เกี่ยวกับข้อเรียกร้องการแสดงความรับผิดชอบ กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดการทุจริตรายได้ค่าโฆษณาจาก อสมท
กระแสสังคมที่รุมกระหน่ำเข้าใส่ ไม่ได้รับการแยแสทั้งจากนายสรยุทธและช่อง3 โดยทั้งสองฝ่าย ยังก้มหน้าก้มตาร่วมกันตักตวงผลประยชน์จากสังคมที่ป่วยไข้ต่อไปอย่างไม่สะท้าน
แต่สังคมจะเพิกเฉยต่อบุคคลและองค์กรที่ไร้สำนึกในจริยธรรมหรือ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงท่าทีออกมาแล้ว โดยระบุว่า กรณีนายสรยุทธ จะเป็นบททดสอบสังคมไทยจะยอมรับในเรื่องจริยธรรมเพียงใด
ถ้าไม่มีมาตรการกดดันต่อต้านเท่ากับสังคมไทยในยุคนี้ ไม่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมอันดีงามแล้ว
แต่หากกระแสต่อต้านลุกลามขยายวง เท่ากับสังคมยอมรับไม่ได้กับบุคคลที่ไร้จริยธรรม ซึ่งประเมินความเคลื่อนไหวแล้ว กระแสสังคมดูเหมือนยอมรับไม่ได้ที่จะเห็นบุคคลที่ขาดจริยธรรม โผล่หน้าจอทีวีทุกเช้า
กระแสกดดันต่อต้านจึงโถมเข้าใส่ทั้งนายสุรยุทธและช่อง 3 อย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์หุ้นประเมินค่าความเสียหายที่ช่อง 3 จะได้รับจากการปล่อยให้พิธีกรที่มีความมัวหมองดำเนินรายการต่อไป โดยรายได้จากค่าโฆษณาจะหายไปประมาณ 20% ทำให้ต้องปรับลดราคาเป้าหมายหุ้นช่อง 3 ใหม่
เครือข่ายต่อต้านการทุจริตยื่นหนังสือเรียกร้องให้ช่อง 3 แสดงจุดยืนเกี่ยวกับคดีฉาวโฉ่ของนายสรุยทธไปแล้ว และยังเรียกร้องให้ภาคธุรกิจตัดโฆษณา ลดการสนับสนุนช่อง 3 ซึ่งก็มีธุรกิจขนาดใหญ่ประกาศถอนโฆษณาจากช่อง 3 แล้วหลายราย
ขั้นตอนปกติไม่อาจกดดันให้ปลดนายสรยุทธได้แน่ เพราะช่อง 3 ทำแกล้งหูทวนลม ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง แต่เชื่อว่ากระแสสังคมคงไม่ลามือในปัญหาด้านจริยธรรมเหมือนกัน
ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายง่ายๆ เพราะจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานเลวๆ ในสังคม และเกิดกรณีแบบอย่างของความเลวที่คนทั่วไปจะอ้างอิงปฏิบัติตาม
มาตรการลงโทษทางสังคม จะต้องยกระดับความเข้มข้นมากขึ้นจากการเรียกร้อง ซึ่งไม่ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งนายสรยุทธและช่อง 3 มากนัก จะรุกไปสู่มาตรการที่สร้างผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม
และเป็นมาตรการที่ช่อง 3 สามารถจับต้องผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมได้
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือช่อง 3 มีรายได้ปีละกว่า 10,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2 ปีก่อนหน้าปีละกว่า 3,000 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้แล้วกว่า 7,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 2,000 ล้านบาท จึงถือเป็นกิจการที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง
ราคาหุ้นย้อนหลัง 4 ปีของช่อง 3 ก็ปรับตัวขึ้นมาตลอด จากราคาประมาณ 20 บาท เพิ่มขึ้นมาประมาณ 3 เท่าตัว โดยล่าสุดอยู่ที่หุ้นละ 57.25 บาท และนับแต่มีข่าวฉาวโฉ่ของนายสรยุทธ ราคาหุ้นก็อ่อนตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลกระทบต่อการดำเนินงานยังไม่ชัดเจน
แต่ปีหน้าถ้าบริษัทขนาดใหญ่พากันถอนโฆษณา และสมาชิกเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันร่วมประท้วงถอนโฆษณา รายได้ของช่อง 3 จะตกวูบเหมือนที่นักวิเคราะห์โบรกเกอร์ประเมินไว้
ตระกูลมาลีนนท์ไม่กลัวกระแสสังคม แต่กลัวผลประโยชน์จะตกหาย กลัวกำไรของ 3 หด กลัวหุ้นช่อง 3 ตกมากกว่า เพราะถ้าผลประโยชน์ถูกกระทบ ตระกูลมาลีนนท์คงต้องจับเข่าคุยกับนายสรยุทธ
และแม้ตระกูลมาลีนนท์จะโปรดปรานนายสรยุทธ แต่ไม่ยอมตายร่วมกับนายสรยุทธแน่
ถึงเวลาช่อง 3 ก็ต้องเอาตัวรอด จะต้องถีบหัวส่งนายสรยุทธก็คงต้องถีบ
กลไกทางสังคมขับเคลื่อนแล้ว และกำลังเดินหน้าต่อไป เพื่อบีบช่อง 3 ให้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรม แม้ช่อง 3 อาจไม่สำนึกในจริยธรรมแม้แต่น้อยก็ตาม
การรณรงค์เพื่อกดดันช่อง 3 ขั้นต่อไป ไม่เฉพาะการวอนขอความร่วมมือภาคธุรกิจไม่ให้สนับสนุนด้านโฆษณาเท่านั้น แต่จะรณรงค์เรียกร้องไม่ให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากธุรกิจที่ลงโฆษณาทางช่อง 3 อีกด้วย
สินค้าอะไรก็ตามที่ลงโฆษณาช่อง 3 จะต้องร่วมกันไม่ซื้อ เมื่อสินค้าที่ลงโฆษณาช่อง 3 แต่ขายไม่ออก ไม่นานการถอนโฆษณาจะตามมา
จะเสียเงินลงโฆษณาทำไม เมื่อไม่ได้ผลตอบรับจากผู้บริโภค แถมถูกหางเลข ถูกต่อต้านไปด้วย
เงินต้องเสีย แต่สินค้าขายไม่ได้ และยังถูกกระแสสังคมต่อต้าน ใครจะลงโฆษณากับช่อง 3 ไปเพื่ออะไร
ถ้าถูกถอนโฆษณา ช่อง 3 ต้องอ่วม และสมควรแล้วที่ต้องอ่วม เพราะมุ่งตักตวงความมั่นคั่ง โดยไม่ใส่ใจเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีส่วนร่วมจรรโลงสังคม
ช่อง 3 เตรียมตัวรับศึกหนักได้แล้ว เพราะกระแสสังคมกำลังรุมสกรัม เล่นบทรุกฆาต โดยเมื่อเลือกที่จะเอานายสรยุทธไว้ ประชาชนเรือนล้านคนหรือหลายล้านคน ก็จะไม่เอาช่อง 3 เหมือนกัน
มาตรการลงโทษทางสังคมที่เข้มข้น ไม่จำเป็นต้องรอองค์กรใดรณรงค์ เพราะทุกคนปฏิบัติได้ทันที เริ่มตั้งแต่วันนี้ร่วมกันคนละไม้คนละมือ
ไม่ลงโฆษณา ไม่ซื้อสินค้าที่โฆษณาทางช่อง 3 ลองดูซิช่อง 3 จะทนไหวไหม “สรยุทธ” ยังจะโผล่หน้าจออีกไหม
กระแสสังคมที่รุมกระหน่ำเข้าใส่ ไม่ได้รับการแยแสทั้งจากนายสรยุทธและช่อง3 โดยทั้งสองฝ่าย ยังก้มหน้าก้มตาร่วมกันตักตวงผลประยชน์จากสังคมที่ป่วยไข้ต่อไปอย่างไม่สะท้าน
แต่สังคมจะเพิกเฉยต่อบุคคลและองค์กรที่ไร้สำนึกในจริยธรรมหรือ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงท่าทีออกมาแล้ว โดยระบุว่า กรณีนายสรยุทธ จะเป็นบททดสอบสังคมไทยจะยอมรับในเรื่องจริยธรรมเพียงใด
ถ้าไม่มีมาตรการกดดันต่อต้านเท่ากับสังคมไทยในยุคนี้ ไม่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมอันดีงามแล้ว
แต่หากกระแสต่อต้านลุกลามขยายวง เท่ากับสังคมยอมรับไม่ได้กับบุคคลที่ไร้จริยธรรม ซึ่งประเมินความเคลื่อนไหวแล้ว กระแสสังคมดูเหมือนยอมรับไม่ได้ที่จะเห็นบุคคลที่ขาดจริยธรรม โผล่หน้าจอทีวีทุกเช้า
กระแสกดดันต่อต้านจึงโถมเข้าใส่ทั้งนายสุรยุทธและช่อง 3 อย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์หุ้นประเมินค่าความเสียหายที่ช่อง 3 จะได้รับจากการปล่อยให้พิธีกรที่มีความมัวหมองดำเนินรายการต่อไป โดยรายได้จากค่าโฆษณาจะหายไปประมาณ 20% ทำให้ต้องปรับลดราคาเป้าหมายหุ้นช่อง 3 ใหม่
เครือข่ายต่อต้านการทุจริตยื่นหนังสือเรียกร้องให้ช่อง 3 แสดงจุดยืนเกี่ยวกับคดีฉาวโฉ่ของนายสรุยทธไปแล้ว และยังเรียกร้องให้ภาคธุรกิจตัดโฆษณา ลดการสนับสนุนช่อง 3 ซึ่งก็มีธุรกิจขนาดใหญ่ประกาศถอนโฆษณาจากช่อง 3 แล้วหลายราย
ขั้นตอนปกติไม่อาจกดดันให้ปลดนายสรยุทธได้แน่ เพราะช่อง 3 ทำแกล้งหูทวนลม ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง แต่เชื่อว่ากระแสสังคมคงไม่ลามือในปัญหาด้านจริยธรรมเหมือนกัน
ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายง่ายๆ เพราะจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานเลวๆ ในสังคม และเกิดกรณีแบบอย่างของความเลวที่คนทั่วไปจะอ้างอิงปฏิบัติตาม
มาตรการลงโทษทางสังคม จะต้องยกระดับความเข้มข้นมากขึ้นจากการเรียกร้อง ซึ่งไม่ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งนายสรยุทธและช่อง 3 มากนัก จะรุกไปสู่มาตรการที่สร้างผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม
และเป็นมาตรการที่ช่อง 3 สามารถจับต้องผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมได้
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือช่อง 3 มีรายได้ปีละกว่า 10,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2 ปีก่อนหน้าปีละกว่า 3,000 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้แล้วกว่า 7,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 2,000 ล้านบาท จึงถือเป็นกิจการที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง
ราคาหุ้นย้อนหลัง 4 ปีของช่อง 3 ก็ปรับตัวขึ้นมาตลอด จากราคาประมาณ 20 บาท เพิ่มขึ้นมาประมาณ 3 เท่าตัว โดยล่าสุดอยู่ที่หุ้นละ 57.25 บาท และนับแต่มีข่าวฉาวโฉ่ของนายสรยุทธ ราคาหุ้นก็อ่อนตัวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลกระทบต่อการดำเนินงานยังไม่ชัดเจน
แต่ปีหน้าถ้าบริษัทขนาดใหญ่พากันถอนโฆษณา และสมาชิกเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันร่วมประท้วงถอนโฆษณา รายได้ของช่อง 3 จะตกวูบเหมือนที่นักวิเคราะห์โบรกเกอร์ประเมินไว้
ตระกูลมาลีนนท์ไม่กลัวกระแสสังคม แต่กลัวผลประโยชน์จะตกหาย กลัวกำไรของ 3 หด กลัวหุ้นช่อง 3 ตกมากกว่า เพราะถ้าผลประโยชน์ถูกกระทบ ตระกูลมาลีนนท์คงต้องจับเข่าคุยกับนายสรยุทธ
และแม้ตระกูลมาลีนนท์จะโปรดปรานนายสรยุทธ แต่ไม่ยอมตายร่วมกับนายสรยุทธแน่
ถึงเวลาช่อง 3 ก็ต้องเอาตัวรอด จะต้องถีบหัวส่งนายสรยุทธก็คงต้องถีบ
กลไกทางสังคมขับเคลื่อนแล้ว และกำลังเดินหน้าต่อไป เพื่อบีบช่อง 3 ให้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรม แม้ช่อง 3 อาจไม่สำนึกในจริยธรรมแม้แต่น้อยก็ตาม
การรณรงค์เพื่อกดดันช่อง 3 ขั้นต่อไป ไม่เฉพาะการวอนขอความร่วมมือภาคธุรกิจไม่ให้สนับสนุนด้านโฆษณาเท่านั้น แต่จะรณรงค์เรียกร้องไม่ให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากธุรกิจที่ลงโฆษณาทางช่อง 3 อีกด้วย
สินค้าอะไรก็ตามที่ลงโฆษณาช่อง 3 จะต้องร่วมกันไม่ซื้อ เมื่อสินค้าที่ลงโฆษณาช่อง 3 แต่ขายไม่ออก ไม่นานการถอนโฆษณาจะตามมา
จะเสียเงินลงโฆษณาทำไม เมื่อไม่ได้ผลตอบรับจากผู้บริโภค แถมถูกหางเลข ถูกต่อต้านไปด้วย
เงินต้องเสีย แต่สินค้าขายไม่ได้ และยังถูกกระแสสังคมต่อต้าน ใครจะลงโฆษณากับช่อง 3 ไปเพื่ออะไร
ถ้าถูกถอนโฆษณา ช่อง 3 ต้องอ่วม และสมควรแล้วที่ต้องอ่วม เพราะมุ่งตักตวงความมั่นคั่ง โดยไม่ใส่ใจเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีส่วนร่วมจรรโลงสังคม
ช่อง 3 เตรียมตัวรับศึกหนักได้แล้ว เพราะกระแสสังคมกำลังรุมสกรัม เล่นบทรุกฆาต โดยเมื่อเลือกที่จะเอานายสรยุทธไว้ ประชาชนเรือนล้านคนหรือหลายล้านคน ก็จะไม่เอาช่อง 3 เหมือนกัน
มาตรการลงโทษทางสังคมที่เข้มข้น ไม่จำเป็นต้องรอองค์กรใดรณรงค์ เพราะทุกคนปฏิบัติได้ทันที เริ่มตั้งแต่วันนี้ร่วมกันคนละไม้คนละมือ
ไม่ลงโฆษณา ไม่ซื้อสินค้าที่โฆษณาทางช่อง 3 ลองดูซิช่อง 3 จะทนไหวไหม “สรยุทธ” ยังจะโผล่หน้าจออีกไหม
