ASTVผู้จัดการรายวัน – ศรีไทยฯขยับเป้ายอดขายปีนี้เกิน 8,000 ล้านบาท หลังไตรมาส 4 มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น แย้มปีหน้าทุ่มอีก 1,000 ล้านบาท ซื้อแม่พิมพ์และเครื่องจักร ดันรายได้ปี56 โตกว่า 9,000 ล้านบาท ลั่นหยุดเพิ่มกำลังผลิตเมลามีนในไทยหันไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้านแทน เหตุขาดแคลนแรงงานหนัก เผยปีหน้าเห็นการลงทุนในอินโดฯและเวียดนามเพิ่มเติม
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) เปิดเผยผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2555 ว่า บริษัทฯจะมียอดขายทะลุ 4,000 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีบริษัทฯมียอดขายเกิน 8,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 7,800 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาส 3/2555 ทั้งยอดขายและกำไรสุทธิดีพอควร และไตรมาส 4 จะมีผลดำเนินงานสูงสุดเมื่อเทียบกับ 3ไตรมาสที่ผ่านมา เพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่กลางต.ค.นี้ ซึ่งธุรกิจพลาสติก โดยเฉพาะภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารและเครื่องดื่ม มีการขยายตัวดีมาก โดยเฉพาะตลาดในเวียดนามและกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งปีหน้าบริษัทฯมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก รวมทั้งยังมีแผนลงทุนสินค้าเพื่อรองรับธุรกิจลอจิสติกส์ เช่น ลัง และพาเลทพลาสติก รวมถึงการเพิ่มสายการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่โคราชเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดในภาคอีสาน ลาวและกัมพูชา โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเลิกผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างช้าปลายปี 2556 เพื่อหันมาผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกและเครื่องดื่มให้มากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จินสูง
“ เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้ให้สัญญากับบริษัทญี่ปุ่นที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมลงทุนตั้งโรงงานผลิตพาเลทและลังพลาสติกในกรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อรองรับ การเติบโตของภาคยานยนต์ คาดว่าจะใช้เวลาระยะหนึ่งในการลงทุน”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เจรจากับบริษัท สแนค ครีเอทิฟ จากต่างประเทศเพื่อขอลิขสิทธิ์ทำตุ๊กตา(Topper)บนถ้วยน้ำอัดลมที่ป้อนให้กับค่ายเมเจอร์ หากได้ลิขสิทธ์เองจะสามารถส่งออกไปยังประเทศในแถบอาเซียนนอกเหนือจากที่ส่งออกไปยังเม็กซิโก ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย
ส่วนธุรกิจเมลามีนนั้น บริษัทฯเพิ่มยอดการผลิตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนเช่าโรงงานเพื่อผลิตเมลามีนเพิ่มอีกหนึ่งแห่งในเวียดนามจากเดิมที่ทั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกและเมลามีนอยู่แล้ว ทำให้กำลังการผลิตเมลามีนเพิ่มขึ้นอีก 40% ดันยอดขายในเวียดนามปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจซื้อมาขายไป ภายใต้แบรนด์ S Natur บริษัทฯได้มีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ผ่านสาขา 16 แห่งทั่วประเทศ ยังมีการขยายตลาดไปยังเมียนมาร์ , ลาว และกัมพูชา และมีแผนการเปิดอีก 1 สาขาภายในปี 2556
นายสนั่น กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันบริษัทฯประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้ครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว ดังนั้น บริษัทฯจึงมีนโยบายที่จะไม่ขยายกำลังผลิตเมลามีนในไทยเพิ่มอีก แต่จะหันไปขยายการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน รวมทั้งอินเดีย ที่มีความคืบหน้าไปมากหลังจากมีข้อจำกัดด้านภาษีก็ตาม คาดว่าจะดำเนินการตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในอินเดียปี 2556 รวมทั้งอาจตั้ง โรงงานผลิตผงเมลามีนเองด้วย
ดังนั้นในปี 2556 บริษัทฯตั้งเป้างบลงทุนเบื้องต้น 1,000 ล้านบาท (ไม่รวมการลงทุนที่อินโดนีเซียและอินเดีย) จะลงทุนเครื่องจักรและแม่พิมพ์เป็นหลัก สูงกว่าปีนี้ที่ใช้งบลงทุน 900 ล้านบาท ทำให้ยอดขายในปี 2559 เกินกว่า 9,000 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin)ไม่ต่ำกว่า 21% และในอนาคตมีโอกาสที่จะเพิ่มได้ถึง 23%ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจนี้
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงานและกู้ยืมแบงก์ โดยไม่มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนแต่อย่างใด และรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 2 เท่า จากครึ่งปีแรกนี้อยู่ที่ 1.18 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 บริษัทฯ จะก่อตั้งครบ 50 ปี ซึ่งมีแผนจะทำการ re-branding รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์บริษัทฯ โดยนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ในการผลิต ซึ่งมองอนาคตจะผลิตฝาขวดที่ย่อยสลายได้ ซึ่งขณะนี้เจรจากับกลุ่มปตท.ทดลองนำพลาสติกย่อยสลายมาผลิตเป็นฝาขวด เป็นต้น
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทยังมีแผนซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ(M&A)เพื่อขยายธุรกิจในช่วงหลังจากปี 2558 แม้ว่าขณะนี้มีผู้เสนอขายกิจการให้ศรีไทยฯก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯในเวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และ ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก เนื่องจากบริษัทฯต้องการรอดูข้อกฎหมายต่างๆหลังรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)แล้ว และยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับบุคลากรที่ไม่เพียงพอ
/////////////////
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (SITHAI) เปิดเผยผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2555 ว่า บริษัทฯจะมียอดขายทะลุ 4,000 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีบริษัทฯมียอดขายเกิน 8,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 7,800 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาส 3/2555 ทั้งยอดขายและกำไรสุทธิดีพอควร และไตรมาส 4 จะมีผลดำเนินงานสูงสุดเมื่อเทียบกับ 3ไตรมาสที่ผ่านมา เพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่กลางต.ค.นี้ ซึ่งธุรกิจพลาสติก โดยเฉพาะภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารและเครื่องดื่ม มีการขยายตัวดีมาก โดยเฉพาะตลาดในเวียดนามและกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งปีหน้าบริษัทฯมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก รวมทั้งยังมีแผนลงทุนสินค้าเพื่อรองรับธุรกิจลอจิสติกส์ เช่น ลัง และพาเลทพลาสติก รวมถึงการเพิ่มสายการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่โคราชเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดในภาคอีสาน ลาวและกัมพูชา โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเลิกผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างช้าปลายปี 2556 เพื่อหันมาผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกและเครื่องดื่มให้มากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จินสูง
“ เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้ให้สัญญากับบริษัทญี่ปุ่นที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมลงทุนตั้งโรงงานผลิตพาเลทและลังพลาสติกในกรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อรองรับ การเติบโตของภาคยานยนต์ คาดว่าจะใช้เวลาระยะหนึ่งในการลงทุน”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เจรจากับบริษัท สแนค ครีเอทิฟ จากต่างประเทศเพื่อขอลิขสิทธิ์ทำตุ๊กตา(Topper)บนถ้วยน้ำอัดลมที่ป้อนให้กับค่ายเมเจอร์ หากได้ลิขสิทธ์เองจะสามารถส่งออกไปยังประเทศในแถบอาเซียนนอกเหนือจากที่ส่งออกไปยังเม็กซิโก ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย
ส่วนธุรกิจเมลามีนนั้น บริษัทฯเพิ่มยอดการผลิตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนเช่าโรงงานเพื่อผลิตเมลามีนเพิ่มอีกหนึ่งแห่งในเวียดนามจากเดิมที่ทั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกและเมลามีนอยู่แล้ว ทำให้กำลังการผลิตเมลามีนเพิ่มขึ้นอีก 40% ดันยอดขายในเวียดนามปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจซื้อมาขายไป ภายใต้แบรนด์ S Natur บริษัทฯได้มีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ผ่านสาขา 16 แห่งทั่วประเทศ ยังมีการขยายตลาดไปยังเมียนมาร์ , ลาว และกัมพูชา และมีแผนการเปิดอีก 1 สาขาภายในปี 2556
นายสนั่น กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันบริษัทฯประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้ครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว ดังนั้น บริษัทฯจึงมีนโยบายที่จะไม่ขยายกำลังผลิตเมลามีนในไทยเพิ่มอีก แต่จะหันไปขยายการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน รวมทั้งอินเดีย ที่มีความคืบหน้าไปมากหลังจากมีข้อจำกัดด้านภาษีก็ตาม คาดว่าจะดำเนินการตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในอินเดียปี 2556 รวมทั้งอาจตั้ง โรงงานผลิตผงเมลามีนเองด้วย
ดังนั้นในปี 2556 บริษัทฯตั้งเป้างบลงทุนเบื้องต้น 1,000 ล้านบาท (ไม่รวมการลงทุนที่อินโดนีเซียและอินเดีย) จะลงทุนเครื่องจักรและแม่พิมพ์เป็นหลัก สูงกว่าปีนี้ที่ใช้งบลงทุน 900 ล้านบาท ทำให้ยอดขายในปี 2559 เกินกว่า 9,000 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin)ไม่ต่ำกว่า 21% และในอนาคตมีโอกาสที่จะเพิ่มได้ถึง 23%ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจนี้
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงานและกู้ยืมแบงก์ โดยไม่มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนแต่อย่างใด และรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 2 เท่า จากครึ่งปีแรกนี้อยู่ที่ 1.18 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 บริษัทฯ จะก่อตั้งครบ 50 ปี ซึ่งมีแผนจะทำการ re-branding รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์บริษัทฯ โดยนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ในการผลิต ซึ่งมองอนาคตจะผลิตฝาขวดที่ย่อยสลายได้ ซึ่งขณะนี้เจรจากับกลุ่มปตท.ทดลองนำพลาสติกย่อยสลายมาผลิตเป็นฝาขวด เป็นต้น
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทยังมีแผนซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ(M&A)เพื่อขยายธุรกิจในช่วงหลังจากปี 2558 แม้ว่าขณะนี้มีผู้เสนอขายกิจการให้ศรีไทยฯก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯในเวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และ ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก เนื่องจากบริษัทฯต้องการรอดูข้อกฎหมายต่างๆหลังรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)แล้ว และยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับบุคลากรที่ไม่เพียงพอ
/////////////////