ASTVผู้จัดการรายวัน - ศรีไทยฯจ่อลงทุนผลิตฝาปิดขวดและPreformในอินโดนีเซียรองรับความต้องการใช้ในประเทศและส่งออกไปออสเตรเลีย-นิวเซียแลนด์ คาดได้ข้อสรุปต้นปี56 แย้มปีนี้บริษัทฯกำไรพุ่ง หลังประเมินอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 20%แต่ยังเป้ารายได้ที่ 7.8 พันล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด(มหาชน)(SITHAI) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯหันมาเน้นการผลิตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีเทคโนโลยีลดการใช้วัตถุดิบในการผลิตฝาปิดขวดภายใต้สิทธิบัตรของUCL ประเทศอังกฤษ และได้สิทธิ์ในการจำหน่ายฝาปิดขวดครอบคลุม 14 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกนั้น
ล่าสุด บริษัทฯมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตหลอดPreform และฝาปิดขวดในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนในตลาดภายในอินโดนีเซีย และส่งออก
โดยโครงการดังกล่าวจะมีการลงทุนทันที หลังจากโรงงานผลิตPreformและฝาปิดขวดที่เวียดนามที่จะเริ่มผลิตในมิ.ย.55 เดินเครื่องจักรได้เต็มที่ โดยบริษัทฯได้วางยุทธศาสตร์ให้โรงงานที่เวียดนามผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และส่งออกไปฟิลิปปินส์และกัมพูชา จากเดิมที่ต้องส่งออกจากไทย
สำหรับการลงทุนในประเทศนั้น บริษัทฯจะขยายกำลังผลิตPreform และฝาปิดขวดในไทยเพิ่มขึ้นอีก 20-25% ใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ในเดือนส.ค.นี้
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีขึ้นมาก โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนอยู่ที 19% แต่ยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ 7.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% โดยรายได้และกำไรในไตรมาส 3/55 จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากการที่บริษัทปรับขึ้นราคาสินค้าพลาสติก 5% และเมลามีน 10% ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้
แม้ว่าปัญหาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลทำให้ต้นทุนรวมบริษัทฯปรับขึ้นไป 4%ก็ตาม
นายราเกส ซิงห์ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนากุลยุทธ์และปฏิบัติการองค์กร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตั้งโรงงานผลิตPreformและฝาปิดขวดน้ำดื่มที่อินโดนีเซียนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรและลูกค้า คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในต้นปี 2556 หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการคาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2557เบื้องต้นคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 800 ล้านฝาต่อปี
“ บริษัทฯจะใช้ 3 ประเทศนี้ คือ ไทย เวียดนามและอินโดนีเซียเป็นฐานหลักการผลิตฝาปิดขวดเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอื่นๆที่บริษัทฯได้รับสิทธิ์ในการจำหน่าย และรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ในปี 2558 “
ส่วนโครงการตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในอินเดีย ต้องรอผลการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดียเพื่อขออลดภาษีนำเข้า วัตถุดิบให้อยู่ระดับ 0-5%จากปัจจุบันที่อินเดียเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 28% พร้อมทั้งมองหาโอกาสการลงทุนในพม่าในช่วง 2-3ปีข้างหน้าด้วย โดยสนใจตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีนและพลาสติก คาดว่าใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด(มหาชน)(SITHAI) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯหันมาเน้นการผลิตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีเทคโนโลยีลดการใช้วัตถุดิบในการผลิตฝาปิดขวดภายใต้สิทธิบัตรของUCL ประเทศอังกฤษ และได้สิทธิ์ในการจำหน่ายฝาปิดขวดครอบคลุม 14 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกนั้น
ล่าสุด บริษัทฯมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตหลอดPreform และฝาปิดขวดในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนในตลาดภายในอินโดนีเซีย และส่งออก
โดยโครงการดังกล่าวจะมีการลงทุนทันที หลังจากโรงงานผลิตPreformและฝาปิดขวดที่เวียดนามที่จะเริ่มผลิตในมิ.ย.55 เดินเครื่องจักรได้เต็มที่ โดยบริษัทฯได้วางยุทธศาสตร์ให้โรงงานที่เวียดนามผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ และส่งออกไปฟิลิปปินส์และกัมพูชา จากเดิมที่ต้องส่งออกจากไทย
สำหรับการลงทุนในประเทศนั้น บริษัทฯจะขยายกำลังผลิตPreform และฝาปิดขวดในไทยเพิ่มขึ้นอีก 20-25% ใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ในเดือนส.ค.นี้
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีขึ้นมาก โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนอยู่ที 19% แต่ยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ 7.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% โดยรายได้และกำไรในไตรมาส 3/55 จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากการที่บริษัทปรับขึ้นราคาสินค้าพลาสติก 5% และเมลามีน 10% ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. นี้
แม้ว่าปัญหาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลทำให้ต้นทุนรวมบริษัทฯปรับขึ้นไป 4%ก็ตาม
นายราเกส ซิงห์ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนากุลยุทธ์และปฏิบัติการองค์กร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตั้งโรงงานผลิตPreformและฝาปิดขวดน้ำดื่มที่อินโดนีเซียนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรและลูกค้า คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในต้นปี 2556 หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการคาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2557เบื้องต้นคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 800 ล้านฝาต่อปี
“ บริษัทฯจะใช้ 3 ประเทศนี้ คือ ไทย เวียดนามและอินโดนีเซียเป็นฐานหลักการผลิตฝาปิดขวดเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศอื่นๆที่บริษัทฯได้รับสิทธิ์ในการจำหน่าย และรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ในปี 2558 “
ส่วนโครงการตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในอินเดีย ต้องรอผลการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดียเพื่อขออลดภาษีนำเข้า วัตถุดิบให้อยู่ระดับ 0-5%จากปัจจุบันที่อินเดียเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 28% พร้อมทั้งมองหาโอกาสการลงทุนในพม่าในช่วง 2-3ปีข้างหน้าด้วย โดยสนใจตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีนและพลาสติก คาดว่าใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท