ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดอาญาเจ้าหน้าที่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และบริษัทไร่ส้ม จำกัด กระทำผิดคดีเงินโฆษณา 138 ล้านบาท
สะท้อนถึงพฤติกรรมขี้โกงของสื่อ
คณะกรรมการป.ป.ช. ได้มีมติวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ส่งเรื่องให้อัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดีอาญาเจ้าหน้าที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) อย่างน้อย 6 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาโดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณาเกินเวลา จำนวน 138,790,000 บาท และต่อมาได้ทำการแก้ไขใบคิวโฆษณาดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เป็นเหตุให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย (ตามคดีดำหมายเลขที่ 50420476, 51422531)
และให้ดำเนินคดีอาญากับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด รวมทั้งกรรมการบริษัท คือนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และน.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในข้อหาสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน มีความเห็นว่าเจ้าหน้าที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) บางรายมีความผิด ส่วนบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกร เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท มีความผิดในฐานะผู้สนับสนุน
แม้ สรยุทธ จะแจกแจงผ่านรายการของตัวเองว่า ได้ชำระเงินจำนวน 138,790,000 บาท เรียบร้อยแล้ว
แต่นั่นเป็นเหตุการณ์หลังจากที่มีการสอบสวน และดำเนินคดี ซึ่งไม่ได้หมายความว่า พฤติกรรมแห่งคดีอาญาจะหมดสิ้นไป
เหตุผลสำคัญ คือการกระทำได้เกิดขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แสดงว่า ผู้กระทำได้กระทำจริงตามข้อกล่าวหา
คดีนี้มีผลการสอบสวนมานานมาก เริ่มจาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ สน.ห้วยขวาง เมื่อปลายปี 2550 ให้ดำเนินคดีกับพนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 คน ในข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และบริษัท ไร่ส้ม จำกัดของนายสรยุทธ ในฐานะผู้สนับสนุน ทำให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายจากค่าโฆษณาเป็นเงิน 138,790,000 บาทและ สน.ห้วยขวางได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้คณะกรรม ป.ป.ช.เมื่อเดือน ธ.ค.2550 แต่คดีกลับคืบหน้าช้ามาก ทั้งๆ ที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ บมจ.อสมท ชุดที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตส.ว. เป็นประธาน ได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานไว้เป็นจำนวนมาก
พฤติกรรมขี้โกงของสรยุทธ ก็คือ การนำสินค้าเข้ามาประกอบในรายการ และเก็บรายได้จากเจ้าของสินค้า (product tie-in) โดยไม่นำส่งส่วนแบ่งรายได้ของอสมท.ตามสัดส่วน เป็นจำนวนเงินถึง 98 ล้านบาท จากการจัดรายการ"คุยคุ้ยข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ระหว่างปี 2548-2549
รวมทั้งเปิดให้มีการส่งข้อความ เอสเอ็มเอส เข้ามาแสดงความคิดเห็นในรายการ โดยอ้างว่าเพื่อการเปิดกว้างแสดงความเห็น โดยมีของรางวัลสมนาคุณ แต่มีการแสวงหาประโยชน์จากการแบ่งรายได้กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์
คณะกรรมการชุดของ พล.ต.อ.ประทินมีมติให้กล่าวหาพนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และบุคคลภายนอก ทั้งทางวินัย ทางอาญา และทางแพ่ง รวม 12 รายแตกต่างกันไป ได้แก่
1.นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายบริการลูกค้า
2.น.ส.อัญญา อู่ไทย หัวหน้าส่วนธุรการระดับ 6 ฝ่ายบริการลูกค้า
3.นายประทีป ศรีมณฑล พนักงานธุรกิจระดับ 7 งานคิวโฆษณา
4.นายธนะชัย วงศ์ทองศรี ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ และเลขานุการบริษัท
5.นางเบจมาศ นนท์วงศ์ พนักงานธุรกิจระดับ 5
6.นายวัลลพ ม่วงกล่ำ พนักงานตัดต่อระดับ 5
7.น.ส.บุณฑณิก บูลย์สิน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1
8.บริษัท ไร่ส้ม จำกัด รวมทั้งกรรมการบริษัท คือนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และน.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม รวมถึง น.ส.มณฑา ธีรเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด
ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา สรยุทธ ได้อ่านคำชี้แจงจากเอกสารที่จัดเตรียมมาว่า
“ขออนุญาตใช้เวลาชี้แจงสั้นๆ เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ประการแรก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เงินจำนวน 138,790,000 บาท ที่บริษัท อสมท เรียกเก็บจากบริษัทของผมนั้น ผมได้ดำเนินการชำระให้ อสมท ไปครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์แล้วนะครับ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะยังมีข้อความเห็นที่แย้งกัน เมื่อมีข้อตกลงระหว่างบริษัทของผม แล้วก็อสมท มีข้อตกลงระหว่างกันว่า การแบ่งนาทีโฆษณาในอัตราส่วน 50:50 ก็คือคนละครึ่งเนี่ยนะครับ แต่ในสัญญาที่ทำกับ อสมท กำหนดเอาไว้ว่า เป็นนาทีที่บริษัทจะได้สิทธิ เมื่อ อสมท เรียกเก็บเงินโฆษณาส่วนเกินของบริษัท และ อสมท ยืนยันว่าบริษัทต้องชำระเงินโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็ได้มีการชำระไปจนครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว”
“แต่ขณะเดียวกัน ในส่วนที่ อสมท ได้เงินโฆษณาเกินโควตาของ อสมท ในความเข้าใจของบริษัท ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าแบ่งอัตราโฆษณา 50:50 อสมทปฏิเสธที่จะชำระให้บริษัท ซึ่งผมในนามของบริษัทไร่ส้มฯ ก็ได้ฟ้องร้อง ขอพึ่งศาลปกครอง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง เพราะฉะนั้น ขอย้ำนะครับ ว่าเงินจำนวน 138 ล้านเศษๆนั้น ได้ชำระให้ อสมท ครบถ้วน จึงไม่ได้มีความเสียหายกับ อสมท ในส่วนนี้ ในแง่ของจำนวนเงิน ขณะเดียวกันในส่วนความเสียหายของบริษัท ผมก็จะรอศาลปกครองต่อไป นี่เป็นประการที่ 1”
“ประการที่ 2 ป.ป.ช.มีมติว่าบริษัทและผม ยังมีความผิด เพราะคำให้การของพนักงาน อสมท ระดับธุรการคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่า ดำเนินการตามคำแนะนำของผม ผมก็มีหน้าที่จะไปพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมต่อไป ว่าผมไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่แม้กระทั่งจะไปรู้จักกับพนักงานคนนี้ และก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว ผมก็จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผม ในขั้นตอนของศาลต่อไป”
“ส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีหลักฐานเป็นเช็คของบริษัทไร่ส้มฯ ซึ่งผมลงลายมือชื่อเอาไว้จำนวน 6 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 7 แสนกว่าบาท ป.ป.ช.ชี้มูลว่า หรือเห็นว่า เป็นค่าตอบแทนของบริษัทให้กับพนักงานคนนั้น ระดับธุรการ เพื่อจะปกปิดเรื่องนี้นั้น นี่คือข้อชี้มูลนะครับ ก็ขออนุญาตสั้นๆ นะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า ในส่วนนี้เนี่ยนะฮะ ผมก็จะได้พิสูจน์ในชั้นศาลต่อไปว่า ผมเป็นกรรมการมีอำนาจลงนามแทนบริษัท เช็คทุกใบที่ออกจากบริษัท ผมเป็นผู้มีอำนาจลงนาม และการลงนามในเช็คนั้น ก็เป็นการลงนามตามขั้นตอนการเบิกจ่ายค่านายหน้าการประสานงานโฆษณาตามปกติ ที่สำคัญ เป็นการจ่ายโดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่ได้เป็นกรณีจ่ายสินบนตอบแทนแต่ประการใด”
“ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ความผิดของพนักงาน อสมท ระดับธุรการ 1 คน มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา แต่พนักงาน อสมท อีก 1 คน ผิดวินัยที่ปล่อยปละละเลย ผมก็จะได้ใช้สิทธิพิสูจน์ในขั้นศาลต่อไปนะครับว่าอสมท เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย่อมต้องมีระบบตรวจสอบ ทั้งระบบภายนอกและภายในที่เข้มข้น ผมจะได้พิสูจน์ให้เห็นต่อไป ซึ่งก็จะใช้สิทธิของผมว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาออกอากาศอย่างเปิดเผย และเป็นที่รับรู้กันในเวลานั้น ว่าเป็นรายการใน อสมท ที่มีโฆษณามากที่สุด”
กล่าวโดยสรุปก็คือ สรยุทธ บอกจ่ายคืนไปเรียบร้อย (เงินที่ยักยอกมา) นั่นเท่ากับยอมว่า ผิดจริง เพราะผลทางคดีอาญา ไม่สามารถจ่ายเงินคืน แล้วเลิกแล้วต่อกันได้ หรือ อสมทไม่ได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ หลักฐานสำคัญคือ สินบนที่สรยุทธให้พนักงานอสมท จำนวน 7 แสนกว่าบาท
ตีตะปูตอกฝาโลงถึงพฤติกรรมของสรยุทธได้ดี
เพียงแต่ความโลภในห้วงเวลานั้นเทียบไม่ได้กับผลประโยชน์ในเวลานี้ที่ช่อง 3 สรยุทธถึงกล้าคืนเงิน 138 ล้านบาทไป !!
ขณะที่พฤติกรรมของสื่ออีกด้านหนึ่ง กลับใช้เงินภาษีของประชาชนไปเที่ยวต่างประเทศ ภายใต้การอุปถัมภ์ของ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานรัฐสภา
ไม่ต้องพูดถึงความเหมาะสม แต่เป็นการผิดจริยธรรมอย่างรุนแรง
โดยในระหว่างวันที่ 19-27 กันยายน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้นำคณะบุคคล พร้อมคณะสื่อ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง รวม 39 คน เดินทางไปเยือนต่างประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ ประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเบลเยียม ตามโครงการดูงานรัฐสภา สื่อ และวิชาการในประเทศดังกล่าว โดยใช้งบประมาณปี 2555 ประมาณ 7 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 1.8 แสนบาท
กำหนดการดูงานครั้งนี้พบว่า ในวันที่ 20 กันยายน เยี่ยมชมรัฐสภาอังกฤษ เพื่อดูระบบจัดเก็บข้อมูล และระบบการทำงานของรัฐสภาอังกฤษ โดยในช่วงกลางวันไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร Four Season LONDON จากนั้นในช่วงค่ำไปรับประทานอาหารที่ Bloomsbury LONDON และได้พักที่โรงแรม Park Plaza Westminster
เช้าวันที่ 21 กันยายน เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ช่วงบ่ายพาไปชมพิพิธภัณฑ์ The Imperial War Musem
วันที่ 22 กันยายน ได้พาเยี่ยมชมสำนักงาน The Economist Group และพาไปซื้อของที่ Borough Market จากนั้นในช่วงบ่ายจะพากันไปชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบลิเวอร์พูล (ฟุตบอลคู่แดงเดือด)
วันที่ 23 กันยายน พาไปเยี่ยมชมสถานีโทรทัศน์บีบีซี กรุงลอนดอน จากนั้นในช่วงบ่ายก็จะไปชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอีกคู่
ในวันที่ 24 กันยายน เดินทางโดยรถไฟไปประเทศฝรั่งเศส
วันที่ 25 กันยายน เยี่ยมชมรัฐสภาฝรั่งเศส และช่วงบ่ายพาชมพิพิธภัณฑ์ลูฟธ์ ส่วนช่วงค่ำได้มีโปรแกรมรับประทานอาหารแบบฝรั่งเศสบนเรือ ที่ล่องแม่น้ำเซนน์
วันที่ 26 กันยายน นั่งรถโค้ชไปเมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อเยี่ยมชมรัฐสภายุโรป
ในวันสุดท้ายที่ 27 กันยายน ได้พาคณะไปเยี่ยมชม ATOMIUN ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ของประเทศเบลเยียม จากนั้นได้เดินทางกลับประเทศไทยในช่วงค่ำ
เจ้าหน้าที่ และคณะสื่อมวลชนที่นายสมศักดิ์เชิญไปนั้นส่วนใหญ่มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล ประกอบด้วย 1. นายสมพล วณิตพันธุ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2.น.ส.ปิสันธนา ทองสัมฤทธิ์ นักวิเทศสัมพันธ์ สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 3.นายสุชาติ ศรีสุวรรณ มติชนรายวัน 4.นายศักดา แซ่เอียว ไทยรัฐ 5.นายน้ำเพชร เชื้อชม Voice TV 6.นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ประชาไท 7.นายสมบูรณ์ อิชยาวรกุล โลกวันนี้ 8.นายคชาชาญ มงคลเจริญ จากช่อง 3
9.นายสมยศ กัลวิชา ช่อง 5 10.นายพิสิฐ กีรติการกุล จากช่อง 7 11.นายสุวิทย์ มิ่งมล ช่อง 9 12.นายชายันต์ อร่ามศรี สำนักข่าวไทย 13.นายพิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ Voice TV และคอลัมนิสต์คมชัดลึก 14.นายวิโรจน์ อาลี คอลัมนิสต์บางกอกโพสต์ 15.นายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ เดอะเนชั่น 16.น.ส.กฤติยา สินธุสวราวัน สำนักข่าวไทย 17.นายสรายุทธ มหวลีรัตน์ สยามกีฬา 18.นายโอฬาร เชื้อบาง สยามกีฬา 19.นายอนุสรณ์ จิตต์ชื่นโชต์ ไทยรัฐ
20.นายจักรพันธุ์ ยมจินดา บอร์ด อสมท 21.นายคมกริช สินพูนภักดิ์ Voice TV 22.น.ส.ศิริภาส ยมจินดา Maxima Studio 23.นายชาคริต อ่อนน้อม Voice TV 24.นายชัยธัช รัตนจันทร์ Voice TV 25.นายวินทร์ วงศ์สวัสดิ์ Maxima Television 26.น.ส.นฤมล เขียนนุกูล อสมท 27.นางศิริพร วงศ์สวัสดิ์ Maxima Television 28.นางอิสรา ยมจินดา ผู้ติดตามหมายเลข 27 29. นางวันทนา พจนาลัย ผู้ติดตามหมายเลข 28
30.น.ส.ภูวนิดา คุนผลิน ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย 31.นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการประธานรัฐสภา 32.นายวสันต์ อุดมผลวนิช คณะทำงานทางการเมือง 33.น.ส.ศิรวศา เทศถมทรัพย์ ผอ.สำนักข่าวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 34.นางปิยรัตน์ คชสังข์สีห์ นักวิเทศสัมพันธ์ 35.น.ส.พลอยไพลิน เกียรติสุรนนท์ ผู้ติดตาม 36.น.ส.นิชาภา ศิริวัฒน์ ผู้ติดตาม 37. น.ส.ณัทธกาภา ศิริวัฒน์ ผู้ติดตาม
แม้จะตั้งชื่อให้แนบเนียนสำหรับการใช้งบประมาณ แต่เนื้อหาของโครงการดูงานรัฐสภา สื่อ และวิชาการ กลับไม้ได้สะท้อนถึงสำนึกความรับผิดชอบของสื่อที่จะร่วมคณะนี้
หากสื่อจะต้องการดูงาน เพิ่มทักษะการเรียนรู้เกี่ยวกับสื่อ ก็ต้องให้องค์กรของสื่อ หรือนักข่าวจ่ายเงิน
แม้กระทั่ง กระบวนการเลือกสื่อเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ (ไม่ใช่ดูงาน) ขึ้นอยู่กับกระบวนการเลือกสรรขององค์กรสื่อ ซึ่งปกติแล้วจะมีเวียนกันตามรายชื่อ เพื่อไม่ให้เป็นเลือกที่รักมักที่ชัง
แต่คณะทัวร์ต่างประเทศครั้งนี้ เป็น “จิ้มตามสี” นั่นหมายความว่า สื่อที่ถูกเลือกจึงหมายถึงการให้รางวัลตอบแทนในการเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า คณะเดินทางดังกล่าวเป็นการตอบแทนกลุ่มสื่อ คอลัมนิสต์ นักวิชาการ ที่อยู่ฝั่งพรรคเพื่อไทย และเสื้อแดง ยกตัวอย่างเช่น มีตัวแทนสื่อ-ผู้ดำเนินรายการผ่านทางสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี สถานีโทรทัศน์ซึ่งตระกูลชินวัตร เป็นเจ้าของร่วมคณะไปอย่างน้อย 5 คน ทั้งยังมีข้อสงสัยอีกด้วยว่า มีการพาเครือญาติของประธานสภาฯ และคนในพรรคเพื่อไทย ไปในฐานะผู้ติดตามอีกด้วย
นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้จัดรายการทางสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งมีชื่อระบุว่า เดินทางไปในฐานะคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ก็ออกมา ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กที่ชื่อ Pitch Pongsawat โดยยอมรับว่า เดินทางไปพร้อมกับคณะดังกล่าวด้วยงบประมาณของรัฐจริง แต่ไปในฐานะนักวิชาการพร้อมกับ นายวิโรจน์ อาลี นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อดูงานด้านรัฐสภา
แม้ว่านักวิชาการในคราบสื่อ 2 คนนี้ จะอ้างว่าเดินทางไปในฐานะ “นักวิชาการ” คำถามตัวใหญ่ก็คือ ทำไมเขาจึงเชิญ 2 คนนี้ หากไม่เป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ด้วย จะเชิญไหม??
เขามีความเชี่ยวชาญ ทั้งพื้นฐานทางความรู้ และทางด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบรัฐสภาอังกฤษมากกว่านักวิชาการคนอื่นๆหรือ จึงถูกเชิญไปร่วมคณะเที่ยวฟรีกินฟรี ??
บทสรุปที่ไม่ต้องสรุปก็คือ เป็นการเลือกเฉพาะเจาะจงคนที่แสดงความเห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย ไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่น นอกจากการ “ตบรางวัล” เท่านั้น