เมื่อเวลา 09.30น. วานนี้ ( 20 ก.ย. )ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย ฟิลิปป์ เริสเลอร์ ( Dr. Philipp Rosler ) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ และในโอกาสที่เป็นประธานฝ่ายเยอรมนี ในการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี ครั้งที่ 3 ร่วมกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวฝากความระลึกถึงและขอบคุณไปถึง นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่ได้เดินทางเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการ และหวังว่าการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ จะประสบความสำเร็จและบรรลุตามประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในด้านพลังงาน และความมั่นคงทางอาหาร และรัฐบาลไทยมีความยินดี ที่ทางการเยอรมนียืนยันที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับไทยและอาเซียนให้แข็งแกร่ง โดยกล่าวว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนและศูนย์กลางโลจิสติกส์ ในภูมิภาคนี้
นายกรัฐมนตรี ยังได้ถือโอกาสสอบถามถึงความคืบหน้า ถึงความเป็นไปได้ในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเทศไทย เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ส่งออกอาหารไทย รวมทั้งช่วยพัฒนาเจ้าหน้าที่ควบคุมมาตรฐานอาหาร พร้อมกล่าวว่า ในส่วนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา และด้านเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นความร่วมมือหลักระหว่างทั้งสองประเทศ นั้น ประเทศไทยพร้อมเปิดกว้าง และเชิญชวนภาคธุรกิจเยอรมนี ให้เข้ามาลงทุน และ หรือขยายการลงทุน โดยเฉพาะในด้านพลังงานสีเขียว และพลังงานทางเลือก ซึ่งในปีนี้รัฐบาลได้มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบบริหารจัดการน้ำ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการบริหารจัดการภัยพิบัตินั้น ตนมีความยินดีที่สองประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อพัฒนาความร่วมมือกัน
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวว่า การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015 จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางในอาเซียน เพื่อช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป
/
นายกรัฐมนตรี ยังได้ถือโอกาสสอบถามถึงความคืบหน้า ถึงความเป็นไปได้ในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเทศไทย เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ส่งออกอาหารไทย รวมทั้งช่วยพัฒนาเจ้าหน้าที่ควบคุมมาตรฐานอาหาร พร้อมกล่าวว่า ในส่วนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา และด้านเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นความร่วมมือหลักระหว่างทั้งสองประเทศ นั้น ประเทศไทยพร้อมเปิดกว้าง และเชิญชวนภาคธุรกิจเยอรมนี ให้เข้ามาลงทุน และ หรือขยายการลงทุน โดยเฉพาะในด้านพลังงานสีเขียว และพลังงานทางเลือก ซึ่งในปีนี้รัฐบาลได้มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบบริหารจัดการน้ำ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการบริหารจัดการภัยพิบัตินั้น ตนมีความยินดีที่สองประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อพัฒนาความร่วมมือกัน
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวว่า การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015 จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางในอาเซียน เพื่อช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป
/
