เอเอฟพี - ราคาน้ำมันวานนี้ (21) ขยับขึ้นจากความหวังครั้งใหม่ว่ายุโรปจะลงมือสกัดวิกฤตหนี้ แต่วอลล์สตรีทปิดลบจากแรงฉุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ทองคำพุ่งแรงเหตุดอลลาร์อ่อนค่าลง
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 43 เซ็นต์ ปิดที่ 96.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 94 เซ็นต์ ปิดที่ 114.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
จอห์น คิลดุฟฟ์ นักวิเคราะห์จากอะเกน แคปิตอล ระบุว่า ตลาดน้ำมันได้ปัจจัยหนุนจากความเห็นของสมาชิกระดับอาวุโสของพรรคนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่บ่งชี้ว่าเยอรมนี มีความตั้งใจที่จะมอบเงินช่วยเหลือที่ยังคั่งค้างจากข้อตกลงกู้ยืมเงินแก่กรีซเพิ่มเติม “คำพูดนั้นส่งสัญญาณในทางบวกแก่ตลาดและผลักให้ยูโรแข็งค่า นำพาให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้ไม่ส่งผลประทบต่อวอลล์สตรีท โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ (21) แกว่งตัวปิดแดนลบในช่วงท้ายของการซื้อขาย จากแรงฉุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 67.29 จุด (0.51 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,204.35 จุด แนสแดค ลดลง 8.95 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,067.26 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 1.87 จุด (0.34 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,413.26 จุด
“ตลาดหุ้นขยับขึ้นในช่วงต้นท่ามกลางมุมมองทางบวกว่าอีซีบีอาจดำเนินการช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมแก่ชาติต่างๆ ในกำลังประสบภาวะหนี้สิน ทว่าแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ฉุดให้ตลาดปิดในแดนลบ” นักวิเคราะห์จากเวลล์ส ฟาร์โก กล่าว
กระนั้นก็ดีราคาทองคำวานนี้ (21) ขยับขึ้นและแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งรอบใหม่ หลังยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อันเป็นผลจากความคาดหวังถึงมาตรการแก้วิกฤตหนี้สินของอีซีบี โดยราคาทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,641.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์