วานนี้ (19 ก.ค.) เวลา 07.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มภารกิจในการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นวันที่ 2 ณ โรงแรม Adlon Kempinski โดยได้เปิดโอกาสให้ นายกีโด เวสเตอร์เวลเลอ (Dr.Guido Westerwelle) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการ โดยได้มีการกล่าวถึงผลการหารือกับนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะนำไปสานต่อ และดำเนินการ โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มการค้าการลงทุนระหว่างกัน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านต่างๆ ที่เยอรมนี มีความเชี่ยวชาญ อาทิ การศึกษาโดยเฉพาะระบบการศึกษา Dual System และอาชีวศึกษา ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี โดยไทยประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อการพัฒนาประเทศ ความร่วมมือด้านมาตรฐานคุณภาพการนำเข้าสินค้าเกษตร ซึ่งเยอรมนีจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้ และอบรม เพื่อให้สินค้าบรรลุมาตรฐานในการนำเข้าสหภาพยุโรป และลดปัญหาการส่งกลับของสินค้า
ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ได้ตอมรับที่จะนำความร่วมมือเหล่านี้ ไปสู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาและสานต่อ และแจ้งว่าในช่วงเดือน ก.ย.นี้ รมว.ว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ซึ่งจะได้มีการติดตามกรอบการทำงานต่อไป
นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ยังได้สอบถามสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และไทย-พม่า ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น โดยเฉพาะกับกัมพูชา จะเห็นได้ว่า การค้าชายแดนมีพัฒนาการที่ก้าวหน้า ประชาชนระหว่างสองประเทศสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งความตกลงในการปรับกำลังทหารจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
สำหรับพม่านั้น ไทยมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า และเห็นว่าสหภาพยุโรป ควรจะยกเลิกการคว่ำบาตรต่อพม่า เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมืองนำพม่าให้เดินต่อไปได้
จากนั้น เวลา 08.15 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เป็นประธานเปิดการอบรมเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ภายในโรงแรมดังกล่าวข้างต้น พร้อมกล่าวให้ความมั่นใจกับผู้ร่วมสัมมนาว่า เศรษฐกิจไทยยมีการเติบโตที่เข้มแข็ง ปริมาณนักท่องเที่ยวเยอรมนี มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น และขณะนี้รัฐบาลกำลังลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย รวมไปถึงข้อตกลงระหว่างไทย- เยอรมนี เรื่องการพัฒนามาตรฐานสินค้าอาหารร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจอาหารในเยอรมนี โดยหวังว่า การอบรมสัมมนา จะช่วยต่อยอดธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มและพัฒนากิจการให้ก้าวหน้าต่อไป
ต่อมา เวลา 09.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน เพื่อพบกับชุมชนชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลิน โดยเปิดโอกาสให้คนไทยราว 40 คน เข้าพบ และรับฟังสภาพความเป็นอยู่ในเยอรมนีของชุมชนชาวไทย ซึ่งนับเป็นชุมชนไทยในต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 2 รองจากชุมชนชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 57,078 คน โดยส่วนมากเป็นสตรีไทยที่สมรสกับชาวเยอรมัน และได้รับสัญชาติเยอรมัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ของชุมชนชาวไทยในเยอรมนี จะเป็นปัญหาทางด้านครอบครัว ภาษา และวัฒนธรรม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กำชับให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงเฟิร์ต ให้การดูแลและคุ้มครองคนไทยอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนโครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพแก่คนไทยในเยอรมนี ตลอดจนการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นไทยในต่างแดน เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวเยอรมันมากขึ้น
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวชื่นชมชุมชนชาวไทยในเยอรมนี ว่ามีความเข้มแข็ง จากการที่ก่อตั้งและรวมตัวกันของสมาคมต่างๆกว่า 17 สมาคม เพื่อให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพิงของคนไทย และยังเป็นเครือข่ายให้กับชาวไทยในยุโรป รวมทั้งยังเป็นตัวกลางที่ช่วยส่งเสริม และเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
ในช่วงสุดท้ายชุมชนไทยในเบอร์ลิน ยังได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวนกว่า 6 แสนบาท และสิ่งของให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อนำมาช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณในน้ำใจของคนไทย ที่แสดงน้ำใจในยามที่บ้านเกิดเมืองนอนเกิดปัญหา
ภายหลังสิ้นเสร็จการพบปะชุมชนชาวไทยในเมืองมิวนิค เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางจะออกเดินทางไปยังนครมิวนิก รัฐบาวาเรีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที เพื่อพบปะกับชุมชนไทยในรัฐบาวาเรีย ก่อนที่จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานมิวนิค โดยเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสต่อไป
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ว่าเป็นเรื่องแปลกที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศในขณะที่บ้านเมืองกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตการเมือง แต่นายกฯ ก็ถือโอกาสไปเยือนต่างประเทศ ซึ่งต่างกับนายกฯ คนอื่นๆ ที่จะไปในวาระที่มีการประชุมครั้งสำคัญเท่านั้น ซึ่งหากดูจากวาระงานของนายกฯ เห็นชัดว่า เป็นเรื่องการพูดคุยความร่วมมือต่างๆ การพบนักธุรกิจ ซึ่งภารกิจอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องให้นายกฯ เดินทางไปเอง แค่ผู้แทนกาคค้าของประเทศ ก็ปฏิบัติภารกิจอย่างนี้ได้
อย่างไรก็ตาม หากดูภาพข่าวที่ออกมาของนายกฯ มีจุดเด่นคือ การโชว์ชุดเครื่องแต่งกาย โดยมีการนำภาพที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใส่ชุดสีส้มไปเทียบกับแฟชั่นเสื้อผ้า ในขณะนี้ที่กำลังฮิตสีส้ม ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย และวัตถุประสงค์ของฝ่ายสร้างภาพให้นายกฯ ว่าจะได้ภาพแบบนี้ออกมาลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
"น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่งกายตามแบบแคตตาล็อคต่างๆ การเดินทางไปเยือนเยอรมัน จึงน่าจะเป็นในฐานะผู้แทนด้านแฟชั่น โครงการที่ว่าครัวไทยสู่ครัวโลกจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นแฟชั่นไทย ไปแฟชั่นโลกของนายกฯ น่าจะเหมาะสมกว่า ดังนั้น จับตาดูหลังจากนี้สื่อต่างประเทศจะพูดเรื่องนี้มากกว่าสาระที่ไปพบปะกัน และนายกฯ ก็จะภูมิใจมาก หากสื่อบอกว่าเป็นนายกฯ ที่แต่งกายดีที่สุด สง่าที่สุด นี่คือความสำเร็จในการทำหน้าที่นายกฯของไทย" นายเทพไท กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านต่างๆ ที่เยอรมนี มีความเชี่ยวชาญ อาทิ การศึกษาโดยเฉพาะระบบการศึกษา Dual System และอาชีวศึกษา ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี โดยไทยประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อการพัฒนาประเทศ ความร่วมมือด้านมาตรฐานคุณภาพการนำเข้าสินค้าเกษตร ซึ่งเยอรมนีจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้ และอบรม เพื่อให้สินค้าบรรลุมาตรฐานในการนำเข้าสหภาพยุโรป และลดปัญหาการส่งกลับของสินค้า
ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ได้ตอมรับที่จะนำความร่วมมือเหล่านี้ ไปสู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาและสานต่อ และแจ้งว่าในช่วงเดือน ก.ย.นี้ รมว.ว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ซึ่งจะได้มีการติดตามกรอบการทำงานต่อไป
นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ยังได้สอบถามสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และไทย-พม่า ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น โดยเฉพาะกับกัมพูชา จะเห็นได้ว่า การค้าชายแดนมีพัฒนาการที่ก้าวหน้า ประชาชนระหว่างสองประเทศสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งความตกลงในการปรับกำลังทหารจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
สำหรับพม่านั้น ไทยมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า และเห็นว่าสหภาพยุโรป ควรจะยกเลิกการคว่ำบาตรต่อพม่า เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมืองนำพม่าให้เดินต่อไปได้
จากนั้น เวลา 08.15 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เป็นประธานเปิดการอบรมเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ภายในโรงแรมดังกล่าวข้างต้น พร้อมกล่าวให้ความมั่นใจกับผู้ร่วมสัมมนาว่า เศรษฐกิจไทยยมีการเติบโตที่เข้มแข็ง ปริมาณนักท่องเที่ยวเยอรมนี มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น และขณะนี้รัฐบาลกำลังลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย รวมไปถึงข้อตกลงระหว่างไทย- เยอรมนี เรื่องการพัฒนามาตรฐานสินค้าอาหารร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจอาหารในเยอรมนี โดยหวังว่า การอบรมสัมมนา จะช่วยต่อยอดธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มและพัฒนากิจการให้ก้าวหน้าต่อไป
ต่อมา เวลา 09.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน เพื่อพบกับชุมชนชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลิน โดยเปิดโอกาสให้คนไทยราว 40 คน เข้าพบ และรับฟังสภาพความเป็นอยู่ในเยอรมนีของชุมชนชาวไทย ซึ่งนับเป็นชุมชนไทยในต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 2 รองจากชุมชนชาวไทยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 57,078 คน โดยส่วนมากเป็นสตรีไทยที่สมรสกับชาวเยอรมัน และได้รับสัญชาติเยอรมัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ของชุมชนชาวไทยในเยอรมนี จะเป็นปัญหาทางด้านครอบครัว ภาษา และวัฒนธรรม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กำชับให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงเฟิร์ต ให้การดูแลและคุ้มครองคนไทยอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนโครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพแก่คนไทยในเยอรมนี ตลอดจนการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นไทยในต่างแดน เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวเยอรมันมากขึ้น
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้กล่าวชื่นชมชุมชนชาวไทยในเยอรมนี ว่ามีความเข้มแข็ง จากการที่ก่อตั้งและรวมตัวกันของสมาคมต่างๆกว่า 17 สมาคม เพื่อให้ความช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพิงของคนไทย และยังเป็นเครือข่ายให้กับชาวไทยในยุโรป รวมทั้งยังเป็นตัวกลางที่ช่วยส่งเสริม และเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
ในช่วงสุดท้ายชุมชนไทยในเบอร์ลิน ยังได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวนกว่า 6 แสนบาท และสิ่งของให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อนำมาช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณในน้ำใจของคนไทย ที่แสดงน้ำใจในยามที่บ้านเกิดเมืองนอนเกิดปัญหา
ภายหลังสิ้นเสร็จการพบปะชุมชนชาวไทยในเมืองมิวนิค เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางจะออกเดินทางไปยังนครมิวนิก รัฐบาวาเรีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที เพื่อพบปะกับชุมชนไทยในรัฐบาวาเรีย ก่อนที่จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานมิวนิค โดยเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสต่อไป
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ว่าเป็นเรื่องแปลกที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศในขณะที่บ้านเมืองกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตการเมือง แต่นายกฯ ก็ถือโอกาสไปเยือนต่างประเทศ ซึ่งต่างกับนายกฯ คนอื่นๆ ที่จะไปในวาระที่มีการประชุมครั้งสำคัญเท่านั้น ซึ่งหากดูจากวาระงานของนายกฯ เห็นชัดว่า เป็นเรื่องการพูดคุยความร่วมมือต่างๆ การพบนักธุรกิจ ซึ่งภารกิจอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องให้นายกฯ เดินทางไปเอง แค่ผู้แทนกาคค้าของประเทศ ก็ปฏิบัติภารกิจอย่างนี้ได้
อย่างไรก็ตาม หากดูภาพข่าวที่ออกมาของนายกฯ มีจุดเด่นคือ การโชว์ชุดเครื่องแต่งกาย โดยมีการนำภาพที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใส่ชุดสีส้มไปเทียบกับแฟชั่นเสื้อผ้า ในขณะนี้ที่กำลังฮิตสีส้ม ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย และวัตถุประสงค์ของฝ่ายสร้างภาพให้นายกฯ ว่าจะได้ภาพแบบนี้ออกมาลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
"น.ส.ยิ่งลักษณ์แต่งกายตามแบบแคตตาล็อคต่างๆ การเดินทางไปเยือนเยอรมัน จึงน่าจะเป็นในฐานะผู้แทนด้านแฟชั่น โครงการที่ว่าครัวไทยสู่ครัวโลกจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นแฟชั่นไทย ไปแฟชั่นโลกของนายกฯ น่าจะเหมาะสมกว่า ดังนั้น จับตาดูหลังจากนี้สื่อต่างประเทศจะพูดเรื่องนี้มากกว่าสาระที่ไปพบปะกัน และนายกฯ ก็จะภูมิใจมาก หากสื่อบอกว่าเป็นนายกฯ ที่แต่งกายดีที่สุด สง่าที่สุด นี่คือความสำเร็จในการทำหน้าที่นายกฯของไทย" นายเทพไท กล่าว