ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หากไล่เรียงรายชื่อบุคคลที่ “ศูนย์วิจัยสันติภาพระหว่างประเทศจีน (ซีไอพีอาร์ซี)” ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสันติภาพขงจื้อประจำปี พ.ศ.2555 แล้ว หลายคนคงสงสัยว่า ด้วยเหตุอันใดจึงปรากฏชื่อ “นายกฯ นกแก้ว” นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยรวมอยู่ด้วย
เพราะคู่แข่งของแม่นางปูนิ่มนั้นล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงเรียงนามก้องโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น), นายบัน กีมูน เลขาธิการยูเอ็น , นายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอเมริกา ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์, นายหวังติงกว๋อ นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมชาวจีน, ศจ.ถังยี้ฉี แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง, นายหยวน หลงผิง นักวิจัยข้าวชาวจีน และปันเชน ลามะ องค์ที่ 11 ผู้นำทางศาสนาชาวทิเบต เป็นต้น
ยิ่งเป็นรางวัลขงจื้อเป็นรางวัลเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ว่า นายกฯ นกแก้วของไทยไปมีความโดดเด่นในเรื่องสันติภาพ ความปรองดอง สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชนที่ตรงไหน
หรือการแต่งตัวสวยเดินกรีดกรายพร้อมกับให้สัมภาษณ์ผิดๆ ถูกๆ จนอับอายขายขี้หน้าคือสิ่งที่เธอได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้
หรือว่าการที่เธอพยายามที่จะสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ เพื่อให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิด และยุติการเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงคือปัจจัยที่ทำให้ชื่อของเธอปรากฏเป็นคู่แข่งขันในการชิงรางวัลอันทรงเกียรตินี้
จะว่าเธอประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ก็ไม่น่าใช่ เพราะในยุคของเธอ เหตุการณ์มีแต่ทวีความรุนแรง เหี้ยมโหดและขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ แถมล่าสุดถ้าใครได้ดูคลิปการแถลงข่าวที่สนามบินกองการบิน กรมการขนส่งทหารบก ดอนเมือง หลังจากเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 กันยายนซึ่งมีการเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ยิ่งอับอายในภูมิปัญญาของนายกฯ นกแก้ว เนื่องเพราะตลอดการแถลงข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอาแต่พูดผิดๆ ถูกๆ ทั้งๆที่มีการจดโพยหรือสคริปต์ขึ้นมาพูด แม้แต่ชื่อ “ชุดคุ้มครองหมู่บ้าน” ที่คนไทยต่างรู้จักดีกันทั้งประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังเรียกไม่ถูก หลายครั้งต้องหันไปให้ นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รวมทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ยืนบอกบทอยู่ด้านหลัง จนทำเอาคนที่ได้ดูคลิปบางคนถึงกับวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า เป็นเสมือนหนึ่งบุคคลไร้ความสามารถเลยทีเดียว
หรือย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อครั้งเกิดเหตุระเบิดเมื่อคราวเกิดเหตุระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจากพรรคเพื่อไทยของคนเสื้อแดงกลับรื่นเริงและระรี้ระริกอยู่กับการครวญเพลงอย่างมีความสุขที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ ในงานเลี้ยงพรรคร่วมที่ใช้ชื่อว่า “ร่วมใจยึดมั่นผลักดันประชาธิปไตย” ที่พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นี่หรือบุคคลที่สมควรจะได้รับรางวัลขงจื้อ
แล้วทำไมอยู่ดีๆ เธอจึงได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลนี้ร่วมกับบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงก้องโลก
แน่นอน คงต้องย้อนหลังไปพิจารณาที่มาที่ไปของรางวัลนี้
กล่าวสำหรับรางวัลสันติภาพขงจื๊อนั้น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2553 เพื่อเสนอรางวัลสันติภาพทางเลือกแข่งกับรางวัลโนเบล เนื่องจากในปี 2533 รางวัลโนเบลสันติภาพตกเป็นของนายหลิวเสี่ยวโป นักเขียนและนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง ที่ถูกศาลจีนตัดสินให้ลงโทษจำคุก 11 ปี โดยรางวัลสันติภาพขงจื๊อปีแรกตกเป็นของรองประธานาธิบดีเหลียน จ้าน ของไต้หวัน ในฐานะผู้สร้างสะพานแห่งสันติภาพระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้เรื่องและให้เด็กนักเรียนคนหนึ่งไปรับรางวัลแทน ขณะที่ในปี 2554ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้รับรางวัลจากการคัดค้านการใช้กำลังกับลิเบีย และปราบปรามกบฏในสาธารณรัฐเชชเนีย
ที่สำคัญคือ เมื่อตรวจสอบข้อมูลกลุ่มนักวิชาการที่ตั้งรางวัลดังกล่าวซึ่งใช้ชื่อว่า ศูนย์วิจัยสันติภาพระหว่างประเทศก็พบว่าเป็นการจดทะเบียนในนามบริษัทจำกัดที่ฮ่องกง โดยทุนจดทะเบียน 1 หมื่นเหรียญดอลลาร์ฮ่องกง แถมในการแถลงข่าวประกาศรายชื่อก็มีผู้สื่อข่าวให้ความสนใจน้อยมาก และข่าวดังกล่าวสื่อหลักของจีนก็มิได้นำเสนออะไรมากนัก จะมีก็แต่สื่อตะวันตกเท่านั้นที่นำเสนอ
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า เป็นเพียงแค่รางวัลที่ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโต้การให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกับนายหลิวเสี่ยวโปเพียงประการเดียว มิได้หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากนี้ ชื่อของบุคคลที่ได้รับรางวัลก็มิได้เห็นว่า มีความเหมาะสมกับรางวัลที่ได้รับแต่ประการใด
กรณีรองประธานาธิดบดีเหลียนจ้านของไต้หวัน ก็ได้รับเพราะโอนเอียงไปทางรัฐบาลจีน
ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียก็ต้องถือว่า น่าจะเป็นการให้รางวัลเพราะเป็นประเทศมหาอำนาจที่อยู่ในระดับเดียวกับสหรัฐอเมริกา
กระนั้นก็ดี ใช่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่สมควรได้รับรางวัลอะไรเลย ทว่า รางวัลที่เธอสมควรได้รับไม่ใช่รางวัลขงจื้อ หากแต่เป็น “รางวัลปาท่องโก๋” หรือที่ถูกต้องในชื่อ อิ่วจาก้วย ตามภาษาแต้จิ๋ว หรือภาษาฮกเกี้ยน อิ่วเจี่ยโก้ย หรือ เจี่ยโก้ย
เพราะพฤติกรรมของนายกฯ นกแก้ว เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะจับเอามาทอดในน้ำมันร้อนๆ พร้อมกับโคลนนิงผู้พี่ เหมือนกับที่ชาวจีนซึ่งเคียดแค้นขุนนางกังฉินชื่อ "ฉินข้วย" หรือ "ฉินฮุ่ย ที่อิจฉาริษยา นายทหาร "เยียะเฟย" หรือแม่ทัพงักฮุย พร้อมวางแผนให้ฮ่องเต้เรียกตัวงักฮุยกลับจากแนวหน้า และทำให้เขาถึงแก่ชีวิตในเวลาต่อมา จึงมีคนคิดเอาแป้งสองชิ้นมาประกบกันเพื่อเป็นตัวแทนขุนนางกังฉินกับภรรยาแซ่หวัง แล้วนำมาทอดกินเพื่อระบายความแค้น เรียกว่า “อิ่วจาก้วย” หรือที่คนไทย เรียกกันผิดๆ ว่า ปาท่องโก๋
อ่าน พินิจขงจื้อ เหลียวดูสังคมไทย โดยพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend