xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คลิปหนังหมิ่นอิสลาม “น้ำผึ้งหยดเดียว” ดับชีวิตทูตมะกัน จุดกระแสต้านทั่วโลกมุสลิม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สตรีชาวลิเบียในเมืองเบงกาซี   ถือป้ายที่มีข้อความว่า  “ไม่ยอมรับการดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด ไม่ยอมรับการดูหมิ่นอิสลาม และไม่ยอมรับการก่อการร้าย”
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นเรื่องที่สร้างความปริวิตกไปทั่วทั้งโลก เมื่อม็อบติดอาวุธชาวลิเบียซึ่งโกรธแค้นภาพยนตร์วิพากษ์ศาสนาอิสลามบุกโจมตีสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองเบงกาซี ทำให้เจ้าหน้าที่อเมริกันเสียชีวิต 4 ราย รวมถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลิเบีย โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงฝูงชนชาวอียิปต์ก็ได้บุกเข้าสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันในกรุงไคโรด้วยสาเหตุเดียวกัน

ทั้งนี้ เนื่องจากเกรงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่จุดกระแสต่อต้านทั่วโลกมุสลิม

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ต้นเหตุของการประท้วงใน 2 เมืองใหญ่ของตะวันออกกลางคือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นโดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชาวอเมริกัน-ยิว ที่เรียกศาสนาอิสลามว่า “มะเร็ง” และแสดงภาพของศาสดามูฮัมหมัดกำลังหลับนอนกับผู้หญิง

วานิส อัล-ชาริฟ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยลิเบีย เปิดเผยว่า ผู้ประท้วงหลายสิบคนได้จู่โจมสถานกงสุลของสหรัฐฯในเมืองเบงกาซีเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีรายงานเบื้องต้นว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันเสียชีวิตหนึ่งคน และอีกคนได้รับบาดเจ็บที่แขน ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆอพยพออกจากสถานกงสุลได้อย่างปลอดภัย

ทว่า เมื่อวันพุธที่ 12 กันยายน เจ้าหน้าที่ลิเบียกลับเผยว่า คริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตอเมริกันถูกกลุ่มมือปืนโจมตีด้วยจรวด และเสียชีวิตพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีก 3 คนขณะถูกนำขึ้นรถออกจากสถานกงสุล และต่อมาภายหลังมีการเสนอข้อมูลใหม่ว่า แท้ที่จริง สตีเวนส์ เสียชีวิตจากการสูดดมควันไฟ เนื่องจากติดอยู่ในอาคารสถานกงสุลที่ถูกกลุ่มติดอาวุธยิงจรวดอาร์พีจีใส่และจุดไฟเผา

มุสตาฟา อาบู ชากูร์ รองนายกรัฐมนตรีลิเบีย กล่าวประณามการสังหารทูตอเมริกันว่า เป็นการกระทำของพวกขี้ขลาด ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ออกคำแถลง “ประณามอย่างรุนแรง” ต่อการโจมตีสำนักงานการทูตของสหรัฐฯ พร้อมสั่งการให้รัฐบาลจัดหาทรัพยากรทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยของบุคลากรอเมริกันในลิเบีย ตลอดจนเพิ่มความปลอดภัยให้แก่สำนักงานการทูตของสหรัฐฯทั่วโลก

อับเดล โมเนม อัล-ฮอร์ โฆษกคณะกรรมการความมั่นคงในสังกัดกระทรวงมหาดไทยลิเบีย เปิดเผยว่า กลุ่มติดอาวุธได้ยิงจรวดอาร์พีจีและขว้างระเบิดเข้าไปในสถานกงสุล ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์อีกสองคนเล่าว่า ผู้ประท้วงได้ฉีกธงชาติอเมริกัน ก่อนเข้าไปฉกชิงทรัพย์สินและจุดไฟเผาอาคาร และมีชายฉกรรจ์จากกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว “ซาลาฟิสต์” ได้ปิดถนนเข้าออกสถานกงสุลด้วย

ทั้งนี้ เมืองเบงกาซี นอกจากจะเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ยังเป็นจุดกำเนิดของการปฏิวัติโค่นล้มพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำเผด็จการลิเบียเมื่อปีที่แล้ว เมืองแห่งนี้ยังต้องเผชิญเหตุการณ์รุนแรงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงการโจมตีเป้าหมายตะวันตก การวางระเบิดอาคารทางทหาร และการสังหารเจ้าหน้าที่ทหารและความมั่นคง

ที่กรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ผู้ประท้วงเกือบ 3,000 คนซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนขบวนการซาลาฟิสต์ ได้ไปชุมนุมที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ หลายสิบคนได้ปีนกำแพงเข้าไปปลดธงชาติอเมริกันออก และนำธงอิสลามขึ้นไปแขวนแทน

อย่างไรก็ดี ตำรวจอียิปต์สามารถสลายการชุมนุมได้อย่างสันติ ทำให้เหลือผู้ประท้วงหน้าสถานทูตอเมริกันเพียงไม่กี่ร้อยคน

การประท้วงทั้งในลิเบียและอียิปต์ปะทุขึ้นในวาระครบรอบ 11 ปีเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ขณะที่ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คนได้ร่วมไว้อาลัยที่กราวนด์ซีโรในนครนิวยอร์ก ส่วนประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็มีแถลงการณ์จากทำเนียบขาวยกย่องชาวอเมริกันที่ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และทำให้สหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น โดยยังมีนัยถึงการสังหาร อุซามะห์ บิน ลาดิน และผู้นำคนสำคัญคนอื่นๆของอัลกออิดะห์ ซึ่งส่งผลให้เครือข่ายก่อการร้ายอ่อนแอลงอย่างมาก

สำหรับภาพยนตร์ที่เป็นต้นเหตุการประท้วงนี้มีชื่อว่า “อินโนเซนซ์ ออฟ มุสลิม” ซึ่งกำกับและอำนวยการสร้างโดย แซม เบซิล นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 52 ปีชาวแคลิฟอร์เนีย ซึ่งระดมทุนกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจากผู้บริจาคชาวยิว 100 คนเพื่อใช้จ้างนักแสดง 60 คนและทีมงานอีก 45 ชีวิตถ่ายทำภาพยนตร์ โดยใช้เวลาประมาณ 3 เดือน

นอกจากจะวิจารณ์ศาสนาอิสลามว่าเป็น “มะเร็งร้าย" เบซิล ยังแสดงภาพของศาสดามูฮัมหมัดหลับนอนกับผู้หญิงหลายต่อหลายคน กล่าวถึงการสังหารชีวิตเด็ก และบอกว่า “ลา คือสัตว์มุสลิมตัวแรก”

ยิ่งไปกว่านั้น ภาพยนตร์ฉาวเรื่องนี้ยังได้รับการหนุนหลังจาก เทอร์รี โจนส์ ศาสนาจารย์แห่งโบสถ์คริสต์ในรัฐฟลอริดาที่เคยขู่เผาพระคัมภีร์อัลกุรอาน จนนำไปสู่เหตุจลาจลในอัฟกานิสถานเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการคัดค้านการสร้างศูนย์วัฒนธรรมอิสลามใกล้กับกราวนด์ซีโรในนครนิวยอร์กด้วย

ศาสนาจารย์ผู้นี้ยืนยันว่า ภาพยนตร์ “อินโนเซนต์ ออฟ มุสลิม” มิได้มีเจตนาดูหมิ่นเหยียดหยามชาวมุสลิม และการเสียชีวิตของเอกอัครราชทูต สตีเวนส์ กับเจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 3 คนในลิเบีย ก็มิได้มีสาเหตุจากภาพยนตร์เรื่องนี้

“เราได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตภาพยนตร์ให้ช่วยนำออกเผยแพร่... ภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้มีเจตนาดูหมิ่นชุมชนมุสลิม แต่ต้องการเผยความจริงเกี่ยวกับมูฮัมหมัด ที่อาจจะไม่เป็นที่ทราบกัน” โจนส์ กล่าว

“พระเจ้ามิได้ทรงดลใจให้มูฮัมหมัดเขียนคัมภีร์อัลกุรอานขึ้น ผลที่ตามมาจากศาสนานั้นย่อมบ่งบอกได้เป็นอย่างดี เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดมิใช่เป็นเพราะภาพยนตร์ และไม่ได้เกิดจากกิจกรรมที่เราทำ และจะทำต่อไป”

โจนส์ ชี้ว่า ความรุนแรงที่กรุงไคโรและเมืองเบงกาซี “แสดงให้เห็นตัวตนที่แท้ของอิสลามที่ไม่ยอมรับคำวิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับมูฮัมหมัด, อัลกุรอาน หรือกฎหมายชารีอะห์ พวกเขากลัวจะถูกวิจารณ์ เพราะรู้ดีว่าผู้คนเฝ้าตรวจสอบคำสอนของอิสลามและเนื้อหาในอัลกุรอานอยู่ มูฮัมหมัดและอัลกุรอานจะต้องถูกเปิดโปงว่ามิใช่อะไร นอกจากคำโกหกและการหลอกลวงเท่านั้น”

ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยถูกฉายในโรงหนังฮอลลีวูดแห่งหนึ่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก่อนจะเงียบหายไป และเริ่มมีการเผยแพร่เวอร์ชันภาษาอาหรับผ่านสถานีโทรทัศน์อียิปต์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จนเกิดกระแสประท้วงลุกลามไปทั่วโลกมุสลิม

กระนั้นก็ตาม นักแสดงและทีมงานสร้างภาพยนตร์กลับออกมายืนยันว่า พวกเขาไม่ได้รู้เห็นด้วย และมีการใส่ถ้อยคำจาบจ้วงศาสนาอิสลามทับเสียงพูดของพวกเขาในฟิล์ม

ซินดี ลี การ์เซีย นักแสดงซึ่งรับบทสตรีที่นำลูกสาวไปแต่งงานกับศาสดามูฮัมหมัด กล่าวว่า เธอไม่เคยทราบมาก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จงใจดูหมิ่นอิสลาม

“หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว... ไม่มีอะไรเกี่ยวกับศาสดามูฮัมหมัด หรือมุสลิม หรืออะไรทำนองนั้นเลย” เธอให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Gawker.com

ด้านโบสถ์คริสต์นิกายคอปติกก็ได้ออกมาประณามการสร้างภาพยนตร์ดูหมิ่นอิสลาม พร้อมแสดงความกังวลเมื่อมีกระแสข่าวว่า ชาวคริสต์คอปติกในอียิปต์สนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ และนำคลิปออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“การนำภาพยนตร์ดังกล่าวออกเผยแพร่ในช่วงนี้ คือแผนการชั่วร้ายที่มุ่งทำลายศาสนา และสร้างความแตกแยกระหว่างผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอียิปต์” แถลงการณ์จากโบสถ์คอปติกออร์โธดอกซ์ ระบุ

และด้วยเหตุดังกล่าวส่งผลทำให้รัฐบาลสหรัฐฯส่งเรือพิฆาต 2 ลำและนาวิกโยธินจากหน่วย FAST (Fleet Anti-Terrorism Security Team) ประมาณ 50 นาย เข้าไปคุ้มกันสถานทูตอเมริกัน ณ กรุงตริโปลี ขณะที่ จอร์จ ลิตเติล โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเจาะจงเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเรือพิฆาตครั้งนี้ แต่ก็ชี้ว่า แผนป้องกันเหตุของกองทัพไม่เพียง “สมเหตุสมผลในบางสถานการณ์” แต่ยัง “เป็นการกระทำอย่างรอบคอบด้วย”

ทั้งนี้ กองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯและเอกชนที่ร่วมทำสัญญา มีหน้าที่คุ้มกันสำนักงานการทูตสหรัฐฯในต่างประเทศ ซึ่งก็ยังไม่ปรากฎชัดว่า ผู้ประท้วงชาวลิเบียสามารถฝ่ามาตรการรักษาความปลอดภัยเข้าไปในสถานกงสุลเมืองเบงกาซีได้อย่างไร

ด้านหน่วย FAST ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการกองทัพเรือสหรัฐฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามต่างๆอย่างฉับไว หลังจากที่สหรัฐฯต้องเผชิญเหตุโจมตีต่อเนื่องในทศวรรษ 1970 และ 1980

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอัฟกานิสถานได้สั่งแบนเว็บไซต์ยูทิวบ์เป็นครั้งแรก เมื่อวันพุธที่ 12 กันยายน เพื่อขัดขวางไม่ให้ประชาชนเข้าชมภาพยนตร์วิพากษ์ศาสนาอิสลาม

"จากคำแนะนำของกระทรวงการสื่อสารและวัฒนธรรม กระทรวงสารสนเทศจึงมีคำสั่งถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกราย ให้บล็อคการเข้าถึงยูทิวบ์" ไอมาล มาร์ยาน เจ้าหน้าที่กระทรวงสารสนเทศบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี โดยชี้ว่า คำสั่งบล็อคจะมีผลไปจนกว่ายูทิวบ์จะถอดภาพยนตร์เรื่องนี้ออก หรือปิดกั้นมิให้คนเข้าชมคลิปภาพยนตร์ดังกล่าวได้

ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างน้อย 1 รายในกรุงคาบูล เผยว่า ไม่สามารถเข้าชมเว็บไซต์ยูทิวบ์ได้ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีคำแถลงเรื่องดังกล่าวราว 1 ชั่วโมง

ในเวลาต่อมา มาร์ยาน เปิดเผยว่า มีการบล็อคเว็บไซต์ยูทิวบ์เป็นเวลาเพียงแค่ 90 นาที และตอนนี้ผู้ใช้สามารถเข้าชมได้ตามปกติแล้ว

ทำเนียบประธานาธิบดีอัฟกานิสถานออกมาประณามภาพยนตร์ดังกล่าวว่า ไร้มนุษยธรรมและดูหมิ่นหยาบคาย พร้อมเรียกร้องให้งดการเผยแพร่ หลังจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็มีผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตกว่า 40 คนในเหตุจลาจลที่มีต้นตอจากกรณีทหารสหรัฐฯเผาสำเนาพระคัมภีร์อัลกุรอานในฐานทัพบาแกรม

ไม่น่าเชื่อว่า คลิปภาพยนตร์สั้นๆจะเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรง และท้าทายมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ และก็คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า เหตุการณ์ร้ายล่าสุดใน “วันที่ 11 กันยายน” จะส่งสัญญาณเตือนให้ชาวอเมริกันกว่า 315 ล้านคนต้องอยู่กับความหวาดระแวงต่อไปอีกนาน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเบงกาซีก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้แต่เอกอัครราชทูตที่อยู่ภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา ก็อาจเอาชีวิตไม่รอด
สีหน้าของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ     และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศ ขณะแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว    สะท้อนความเลวร้ายของเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
สภาพด้านนอกของอาคารสถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเบงกาซีของลิเบีย หลังการโจมตี
ความเสียหายจาก “น้ำผึ้งหยดเดียว”   ครั้งนี้   มิอาจประเมินค่าได้
ภาพถ่ายสุดท้ายของคริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ   ที่ถ่ายไว้ที่บ้านพักในกรุงตริโปลี เมื่อ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา   ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากเหตุโจมตีที่เบงกาซีเมื่อ 11 กันยายน
ไม่มีใครคาดคิดว่า  เหตุการณ์ที่สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเบงกาซี   จะบานปลายถึงเพียงนี้
หนึ่งในกลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุรุนแรงท้าทายอำนาจสหรัฐฯในครั้งนี้ยืนโพสต์ท่าด้วยความสะใจในวีรกรรมของตน
ภาพถ่ายส่วนหนึ่งซึ่งแสดงถึงความเสียหาย  จากด้านในตัวอาคารสถานกงสุลสหรัฐฯ
กลุ่มควันดำทะมึนและเปลวเพลิงจากเหตุโจมตีสถานกงสุลสหรัฐฯในเบงกาซีเมื่อ 11 กันยายน 2012
ผู้ประท้วงช่วยกันทำลายธงชาติอเมริกันบริเวณสถานทูตสหรัฐฯในกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์
 การประท้วงต่อต้านสหรัฐฯในอียิปต์ มีความเข้มข้นไม่แพ้ในลิเบีย
กลุ่มผู้ประท้วงชาวอียิปต์ถูกบันทึกภาพขณะสวมหน้ากาก “Guy Fawkes” อันโด่งดัง บริเวณกำแพงด้านหน้าสถานทูตสหรัฐฯที่ไคโร
ตำรวจปราบจลาจลอียิปต์ ไม่สามารถคุมสถานการณ์การประท้วงในไคโรได้
หนึ่งในภาพฟุตเทจ  จากวิดีโอเจ้าปัญหา “innocence of muslims ”   ที่มีเนื้อหาต่อต้านชาวมุสลิม และดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด    ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น