ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องคดี “ทักษิณ” ฟ้องหมิ่นประมาทแกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ปี 51 แฉแทรกแซงสื่อ องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม บริหารงานไม่โปร่งใสและหลบหนีอาญาแผ่นดิน ชี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม
วานนี้ (12 ก.ย.) เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งคดีดำที่ อ.1923/2551 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายวินิจ ปิณฑวนิช ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำและผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2551 จำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์กลุ่มพันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2551 และเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ทำนองว่า โจทก์หลบหนีอาญาแผ่นดิน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แทรกแซงสื่อมวลชนและองค์กรอิสระ รวมทั้งมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อมุ่งหวังช่วยเหลือทางคดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่มีมูล ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่า คดีนี้ขณะจำเลยที่ 1-6 ร่วมกันแถลงการณ์ โจทก์ยังไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญา ต่อมาโจทก์ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี และหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งการแถลงการณ์ของแกนนำพันธมิตรฯ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ติชมและแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และประชาชนส่วนรวมเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน หรือส่วนได้ส่วนเสียตามคลองธรรม โดยวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานของโจทก์ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ได้ดำเนินการนโยบายไปในทางผิดวิสัยไม่โปร่งใส ไปตามข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีเหตุให้น่าสงสัยและมีมูลอันควรเชื่อตามสมควร แม้จะมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นคำหยาบคาย และเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่บุคคลทั่วไปใช้ในการแสดงความคิดเห็น ยังอยู่ในความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 อนุ 1 และ 3
ส่วนที่ว่า โจทก์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องถือตามความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป มิใช่ถือความรู้สึกของของโจทก์ที่อ้างว่าเสียหาย และต้องพิจารณาข้อความโดยรวมทั้งหมดให้ครบถ้วน มิใช่พิจารณาเฉพาะข้อความบางส่วน บางตอน จึงจะแสดงให้เห็นเจตนา ความหนัก เบา และความหมายอันเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่าพวกจำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ คดีไม่มีมูล ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
วานนี้ (12 ก.ย.) เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งคดีดำที่ อ.1923/2551 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายวินิจ ปิณฑวนิช ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำและผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2551 จำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์กลุ่มพันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2551 และเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ทำนองว่า โจทก์หลบหนีอาญาแผ่นดิน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน แทรกแซงสื่อมวลชนและองค์กรอิสระ รวมทั้งมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อมุ่งหวังช่วยเหลือทางคดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่มีมูล ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่า คดีนี้ขณะจำเลยที่ 1-6 ร่วมกันแถลงการณ์ โจทก์ยังไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญา ต่อมาโจทก์ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี และหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งการแถลงการณ์ของแกนนำพันธมิตรฯ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ติชมและแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และประชาชนส่วนรวมเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน หรือส่วนได้ส่วนเสียตามคลองธรรม โดยวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานของโจทก์ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ได้ดำเนินการนโยบายไปในทางผิดวิสัยไม่โปร่งใส ไปตามข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีเหตุให้น่าสงสัยและมีมูลอันควรเชื่อตามสมควร แม้จะมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นคำหยาบคาย และเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่บุคคลทั่วไปใช้ในการแสดงความคิดเห็น ยังอยู่ในความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 อนุ 1 และ 3
ส่วนที่ว่า โจทก์เป็นผู้ร้ายข้ามแดน จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องถือตามความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป มิใช่ถือความรู้สึกของของโจทก์ที่อ้างว่าเสียหาย และต้องพิจารณาข้อความโดยรวมทั้งหมดให้ครบถ้วน มิใช่พิจารณาเฉพาะข้อความบางส่วน บางตอน จึงจะแสดงให้เห็นเจตนา ความหนัก เบา และความหมายอันเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่าพวกจำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ คดีไม่มีมูล ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น