ทำท่าจะราบรื่น โรยด้วยกลีบกุหลาบในแผนปฏิบัติการปูพรม กรุยทางให้ “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขึ้นชั้นผงาดไปนั่งบนเก้าอี้เบอร์หนึ่งของสมช. หลังจากไกล่เกลี่ยจน “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เลขาธิการสมช. คนปัจจุบันยอมลุกจากเก้าอี้ได้สำเร็จ
และม้าแข่งที่มีชื่อโผล่มาเป็นแคนดิเดตในช่วงแรกอย่าง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ที่บางฝ่ายหนุนหลัง เสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการสมช. เพื่อเป็นการปลอบใจ หลังจากแห้วเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาหยกๆ ก็ส่ายหน้า ไม่ขอเข้าท้าชิงเอาเสียดื้อๆ เนื่องจากต้องการทำงานอยู่ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ต่อไป
แว่วว่าสาเหตุจริงๆ เป็นเพราะช่องทางเพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจส่วนตัวในตำแหน่งเดิมนั้น เยอะกว่าตำแหน่งใหม่ ที่มีคนจะหยิบยื่นให้อยู่บานตะไท จึงไม่สนใจตำแหน่งที่มีแต่หัวโขน แต่ไร้ความอู้ฟู่
มันเลยทำให้ลู่ทางการวิ่งเข้าเส้นชัยของ “พล.ท.ภราดร” สว่างสดใส และเหลือเพียงรอเวลาเข้าวินเพียงอย่างเดียว
แต่แล้วทุกอย่างกลับต้องสะดุดกลางคันเมื่อตำแหน่งใหม่อย่างเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหลบหนีคดี เปิดไว้รอ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่งก่อนเกษียณ เพื่อปูทางให้ “พล.ท.ภราดร” เข้าสู่เก้าอี้เลขาธิการสมช.ได้อย่างสะดวกโยธิน เจอตอเข้าอย่างจัง
เดิมทีเดียวจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ก็ถูกเตะถ่วงเลื่อนไป เลื่อนมา จนส่งกลิ่นปัญหาความไม่ลงตัว เบื้องลึกเบื้องหลังการคาเรื่องเอาไว้
**ว่ากันว่า “เจ๊ด.” ผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างหลัง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่แส่ไปทุกเรื่อง แทรกแซงไปแทบทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงที่ผลประโยชน์เยอะๆ ออกอาการไม่ปลื้มที่จะให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่งคั่วเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม แต่ต้องการที่จะให้อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้เป็นแทน
อย่างว่าเก้าอี้ตัวนี้ จัดเป็นตำแหน่งสำคัญระดับ “ดับเบิ้ลเอ” ที่ข้าราชการทั้งหลายปรารถนาครอบครองเป็นอันดับต้นๆ เพราะผลประโยชน์ผ่านไปผ่านมาอื้อซ่า และตามสถิติส่วนใหญ่ที่ผ่านมา คนที่ได้นั่งก็มักจะเป็นคนที่ฝ่ายการเมืองเลือกสรรเคาะเองกับมือ
ที่สำคัญ ยังมีการซุบซิบกันแหลกราญเลยว่า สำหรับเก้าอี้ดับเบิ้ลเอตัวนี้ หากตีราคาในการได้มา จะต้องย่อมแลกด้วยตัวเงินที่มีมูลค่า 8 -9 หลักทีเดียว !!
เหตุที่มีการตีราคาค่าเก้าอี้กันแพงลิบลิ่ว ก็สืบเนื่องจากกระทรวงคมนาคม จัดเป็นแหล่งเงินแหล่งทอง ที่ปีๆ หนึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงเป็นอันดับต้นๆ และยังมีสารพัดโครงการ มูลค่ามหาศาลจ่อคิวจะสร้างกันตลอดทั้งปี ทั้งชาติ
และมันมีรอยรั่วที่เปิดอ้าให้ “เหลือบ – ไร” ได้แทะเล็ม ชอนไชงบประมาณได้ตลอด การหลีกเร้นระบบตรวจสอบก็มีอยู่หลายช่องหลายทาง ซึ่งทำกันมาเป็นวัฒนธรรมอุบาทว์ ความน่าพิศวาสตรงนี้มีความยั่วยวนใจเป็นล้นพ้น ไม่ต่างจาก ส.ส. หรือ นายทุนเอง ที่ต้องวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบทุกครั้ง ช่วงฤดูกาลปรับครม. หวังเข้ามาตักตวงผลประโยชน์บนเก้าอี้รัฐมนตรีกันอย่างหน้าไม่อาย
** กรณี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ถูกไอ้โม่ง (การเมือง) เข้าไปปล้นทรัพย์สินในบ้านพักส่วนตัว ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด ถึงความอู้ฟู่ตรงนี้ เพราะขนาดเจ้าตัวดำรงตำแหน่งเพียงไม่กี่ปี แต่ทรัพย์สมบัติที่มีก็พอจะปรนเปรอครอบครัวให้อยู่สุขสบายไปหลายชาติ
ด้วยงบประมาณที่กองอยู่ในกระทรวงหูกวางแบบกองพะเนิน ดังนั้นคนที่จะถูกผลักดันเข้าไปนั่งเก้าอี้ในบั้นปลายของการแข่งขันได้ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจตัวจริงพึงปรารถนาคือ “สั่งได้” และ “ไว้ใจได้” และพร้อมจะเป็นเครือข่ายที่ดี หากวันหนึ่งผู้มีบุญคุณหมดอำนาจลงไปแล้ว
**ซึ่ง “เจ๊ ด.” มองว่า “พล.ต.อ.วิเชียร” ขาดคุณสมบัติตรงนี้อย่างแรง พร้อมเตรียมดันเด็กในคาถาจ่อไว้แล้ว
ทว่าหนังเรื่องนี้ก็ยังต้องอีนุงตุงนัง หาทางลงกันอีกยกใหญ่ เพราะแม้ “พล.ต.อ.วิเชียร” จะไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจ “เจ๊ ด.” ผู้มากบารมีของพรรคสีแดง แต่เจ้าตัวก็ถือเป็นคนที่ถูก “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เลือกให้มาอยู่ตำแหน่งดังกล่าวเองกับมือ
ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ ผลักดัน “พล.ท.ภราดร” ที่มีศักดิ์เป็นหลานของ ปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ซึ่ง “พ.ต.ท.ทักษิณ”เคยเป็นนายเวรเดินถือกระเป๋าให้ และมีความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ได้ผงาดนั่งบนเก้าอี้เลขาธิการสมช. ให้สำเร็จ
ขณะที่ “พล.ต.อ.วิเชียร” เอง ครั้งหนึ่งก็เคยยอมสละเก้าอี้เบอร์หนึ่งสีกากี แบบว่านอนสอนง่ายให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มาแล้ว ก็ย่อมจะได้นับถอยหลังอายุราชการตัวเองที่จะเกษียณในเดือนกันยายนปีหน้า ในตำแหน่งที่มีระดับใกล้เคียงกัน ซึ่ง “นายห้างดูไบ” ก็ล็อกเป้าให้ที่กระทรวงคมนาคม
กระนั้น เมื่อเกิดปัญหาภายในครอบครัว “นายห้างแม้ว” และ “เจ๊ ด.” ความเห็นไม่สอดคล้องกัน วิบากกรรมก็อาจตกอยู่ที่ “พล.ท.ภราดร” เพราะสำหรับ “พล.ต.อ.วิเชียร” นั้น หากฝ่ายอำนาจไม่สามารถจัดสรรเก้าอี้ที่เหมาะสมมาให้ได้ สถานการณ์ตัวเองก็จะยังนั่งคาอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการสมช. เหมือนเดิมจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ
“พล.ท.ภราดร” อาจต้องนั่งแช่รอคอยอีก 1 ปี ในตำแหน่งเดิมต่อไป ซึ่ง “ทักษิณ” เองก็คงจะไม่แฮปปี้นัก เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงอาจตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้การโยกย้ายครั้งนี้เกิดขึ้น แต่หนทางดูแล้วยากไม่น้อย
เพราะหากมองไปที่เก้าอี้ที่พอจะให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่ง นอกเหนือจากกระทรวงคมนาคมที่เป็นเป้าหมายแรกแล้วก็แทบจะไม่เหลือพอให้โอนย้ายได้เลย แต่ละสัดส่วน ได้ถูกสลับติ้ว จัดวางไว้เกือบลงตัวหมดแล้ว
**ตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เคยมีข่าวว่าอาจให้อดีตเบอร์หนึ่งสีกากีคนนี้ไปนั่งนั้น ก็ไม่น่าจะมีหนทางสำเร็จ เพราะเจ้าของกระทรวงตัวจริงนาม “บรรหาร ศิลปอาชา” ได้ยินก็คงปิดประตูใส่หน้าดังปั้ง ตั้งแต่ทำท่าจะเดินเข้ารั้วแล้ว
น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า ปฏิบัติการปูทางให้ “พล.ท.ภราดร” ก้าวสู่ “เบอร์หนึ่งสมช.” ครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่
หากในท้ายที่สุดครม. มีมติเห็นชอบให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคมเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง “ทักษิณ” ได้เคลียร์ใจกับ “เจ๊ ด.” เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว “ทักษิณ” เลือกที่จะขัดใจ "เจ๊ ด." เพื่อตอบแทนหลานของผู้มีพระคุณ
**แต่ถ้าจนแล้วจนรอดชื่อ "พล.ต.อ.วิเชียร" ยังค้างเติ่งอยู่ที่เดิม ไม่กระโดดไปกระทรวงคมนาคม นั่นก็สะท้อนว่า "เจ๊ ด." และเครือข่ายสายตรงในประเทศ แผ่ขยายอิทธิพล กุมอำนาจประเทศไว้ส่วนใหญ่ กดให้ “นายใหญ่” ต้องจำยอม !!
และม้าแข่งที่มีชื่อโผล่มาเป็นแคนดิเดตในช่วงแรกอย่าง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ที่บางฝ่ายหนุนหลัง เสนอชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการสมช. เพื่อเป็นการปลอบใจ หลังจากแห้วเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาหยกๆ ก็ส่ายหน้า ไม่ขอเข้าท้าชิงเอาเสียดื้อๆ เนื่องจากต้องการทำงานอยู่ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ต่อไป
แว่วว่าสาเหตุจริงๆ เป็นเพราะช่องทางเพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจส่วนตัวในตำแหน่งเดิมนั้น เยอะกว่าตำแหน่งใหม่ ที่มีคนจะหยิบยื่นให้อยู่บานตะไท จึงไม่สนใจตำแหน่งที่มีแต่หัวโขน แต่ไร้ความอู้ฟู่
มันเลยทำให้ลู่ทางการวิ่งเข้าเส้นชัยของ “พล.ท.ภราดร” สว่างสดใส และเหลือเพียงรอเวลาเข้าวินเพียงอย่างเดียว
แต่แล้วทุกอย่างกลับต้องสะดุดกลางคันเมื่อตำแหน่งใหม่อย่างเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหลบหนีคดี เปิดไว้รอ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่งก่อนเกษียณ เพื่อปูทางให้ “พล.ท.ภราดร” เข้าสู่เก้าอี้เลขาธิการสมช.ได้อย่างสะดวกโยธิน เจอตอเข้าอย่างจัง
เดิมทีเดียวจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ก็ถูกเตะถ่วงเลื่อนไป เลื่อนมา จนส่งกลิ่นปัญหาความไม่ลงตัว เบื้องลึกเบื้องหลังการคาเรื่องเอาไว้
**ว่ากันว่า “เจ๊ด.” ผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างหลัง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่แส่ไปทุกเรื่อง แทรกแซงไปแทบทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงที่ผลประโยชน์เยอะๆ ออกอาการไม่ปลื้มที่จะให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่งคั่วเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม แต่ต้องการที่จะให้อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้เป็นแทน
อย่างว่าเก้าอี้ตัวนี้ จัดเป็นตำแหน่งสำคัญระดับ “ดับเบิ้ลเอ” ที่ข้าราชการทั้งหลายปรารถนาครอบครองเป็นอันดับต้นๆ เพราะผลประโยชน์ผ่านไปผ่านมาอื้อซ่า และตามสถิติส่วนใหญ่ที่ผ่านมา คนที่ได้นั่งก็มักจะเป็นคนที่ฝ่ายการเมืองเลือกสรรเคาะเองกับมือ
ที่สำคัญ ยังมีการซุบซิบกันแหลกราญเลยว่า สำหรับเก้าอี้ดับเบิ้ลเอตัวนี้ หากตีราคาในการได้มา จะต้องย่อมแลกด้วยตัวเงินที่มีมูลค่า 8 -9 หลักทีเดียว !!
เหตุที่มีการตีราคาค่าเก้าอี้กันแพงลิบลิ่ว ก็สืบเนื่องจากกระทรวงคมนาคม จัดเป็นแหล่งเงินแหล่งทอง ที่ปีๆ หนึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงเป็นอันดับต้นๆ และยังมีสารพัดโครงการ มูลค่ามหาศาลจ่อคิวจะสร้างกันตลอดทั้งปี ทั้งชาติ
และมันมีรอยรั่วที่เปิดอ้าให้ “เหลือบ – ไร” ได้แทะเล็ม ชอนไชงบประมาณได้ตลอด การหลีกเร้นระบบตรวจสอบก็มีอยู่หลายช่องหลายทาง ซึ่งทำกันมาเป็นวัฒนธรรมอุบาทว์ ความน่าพิศวาสตรงนี้มีความยั่วยวนใจเป็นล้นพ้น ไม่ต่างจาก ส.ส. หรือ นายทุนเอง ที่ต้องวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบทุกครั้ง ช่วงฤดูกาลปรับครม. หวังเข้ามาตักตวงผลประโยชน์บนเก้าอี้รัฐมนตรีกันอย่างหน้าไม่อาย
** กรณี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ถูกไอ้โม่ง (การเมือง) เข้าไปปล้นทรัพย์สินในบ้านพักส่วนตัว ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด ถึงความอู้ฟู่ตรงนี้ เพราะขนาดเจ้าตัวดำรงตำแหน่งเพียงไม่กี่ปี แต่ทรัพย์สมบัติที่มีก็พอจะปรนเปรอครอบครัวให้อยู่สุขสบายไปหลายชาติ
ด้วยงบประมาณที่กองอยู่ในกระทรวงหูกวางแบบกองพะเนิน ดังนั้นคนที่จะถูกผลักดันเข้าไปนั่งเก้าอี้ในบั้นปลายของการแข่งขันได้ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจตัวจริงพึงปรารถนาคือ “สั่งได้” และ “ไว้ใจได้” และพร้อมจะเป็นเครือข่ายที่ดี หากวันหนึ่งผู้มีบุญคุณหมดอำนาจลงไปแล้ว
**ซึ่ง “เจ๊ ด.” มองว่า “พล.ต.อ.วิเชียร” ขาดคุณสมบัติตรงนี้อย่างแรง พร้อมเตรียมดันเด็กในคาถาจ่อไว้แล้ว
ทว่าหนังเรื่องนี้ก็ยังต้องอีนุงตุงนัง หาทางลงกันอีกยกใหญ่ เพราะแม้ “พล.ต.อ.วิเชียร” จะไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจ “เจ๊ ด.” ผู้มากบารมีของพรรคสีแดง แต่เจ้าตัวก็ถือเป็นคนที่ถูก “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เลือกให้มาอยู่ตำแหน่งดังกล่าวเองกับมือ
ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ ผลักดัน “พล.ท.ภราดร” ที่มีศักดิ์เป็นหลานของ ปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ซึ่ง “พ.ต.ท.ทักษิณ”เคยเป็นนายเวรเดินถือกระเป๋าให้ และมีความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ได้ผงาดนั่งบนเก้าอี้เลขาธิการสมช. ให้สำเร็จ
ขณะที่ “พล.ต.อ.วิเชียร” เอง ครั้งหนึ่งก็เคยยอมสละเก้าอี้เบอร์หนึ่งสีกากี แบบว่านอนสอนง่ายให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มาแล้ว ก็ย่อมจะได้นับถอยหลังอายุราชการตัวเองที่จะเกษียณในเดือนกันยายนปีหน้า ในตำแหน่งที่มีระดับใกล้เคียงกัน ซึ่ง “นายห้างดูไบ” ก็ล็อกเป้าให้ที่กระทรวงคมนาคม
กระนั้น เมื่อเกิดปัญหาภายในครอบครัว “นายห้างแม้ว” และ “เจ๊ ด.” ความเห็นไม่สอดคล้องกัน วิบากกรรมก็อาจตกอยู่ที่ “พล.ท.ภราดร” เพราะสำหรับ “พล.ต.อ.วิเชียร” นั้น หากฝ่ายอำนาจไม่สามารถจัดสรรเก้าอี้ที่เหมาะสมมาให้ได้ สถานการณ์ตัวเองก็จะยังนั่งคาอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการสมช. เหมือนเดิมจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ
“พล.ท.ภราดร” อาจต้องนั่งแช่รอคอยอีก 1 ปี ในตำแหน่งเดิมต่อไป ซึ่ง “ทักษิณ” เองก็คงจะไม่แฮปปี้นัก เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงอาจตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้การโยกย้ายครั้งนี้เกิดขึ้น แต่หนทางดูแล้วยากไม่น้อย
เพราะหากมองไปที่เก้าอี้ที่พอจะให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่ง นอกเหนือจากกระทรวงคมนาคมที่เป็นเป้าหมายแรกแล้วก็แทบจะไม่เหลือพอให้โอนย้ายได้เลย แต่ละสัดส่วน ได้ถูกสลับติ้ว จัดวางไว้เกือบลงตัวหมดแล้ว
**ตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เคยมีข่าวว่าอาจให้อดีตเบอร์หนึ่งสีกากีคนนี้ไปนั่งนั้น ก็ไม่น่าจะมีหนทางสำเร็จ เพราะเจ้าของกระทรวงตัวจริงนาม “บรรหาร ศิลปอาชา” ได้ยินก็คงปิดประตูใส่หน้าดังปั้ง ตั้งแต่ทำท่าจะเดินเข้ารั้วแล้ว
น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า ปฏิบัติการปูทางให้ “พล.ท.ภราดร” ก้าวสู่ “เบอร์หนึ่งสมช.” ครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่
หากในท้ายที่สุดครม. มีมติเห็นชอบให้ “พล.ต.อ.วิเชียร” นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคมเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง “ทักษิณ” ได้เคลียร์ใจกับ “เจ๊ ด.” เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว “ทักษิณ” เลือกที่จะขัดใจ "เจ๊ ด." เพื่อตอบแทนหลานของผู้มีพระคุณ
**แต่ถ้าจนแล้วจนรอดชื่อ "พล.ต.อ.วิเชียร" ยังค้างเติ่งอยู่ที่เดิม ไม่กระโดดไปกระทรวงคมนาคม นั่นก็สะท้อนว่า "เจ๊ ด." และเครือข่ายสายตรงในประเทศ แผ่ขยายอิทธิพล กุมอำนาจประเทศไว้ส่วนใหญ่ กดให้ “นายใหญ่” ต้องจำยอม !!