จากคำนิยามของคำว่า “ปิโตรเลียม” หมายความว่า น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลวสารพลอยได้ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และอยู่ในสภาพอิสระ ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นของแข็ง ของหนืด ของเหลว หรือก๊าซ และให้หมายความรวมถึงบรรดาไฮโดรคาร์บอนหนักที่อาจนำขึ้นมาจากแหล่งโดยตรง โดยใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี แต่ไม่หมายความรวมถึงถ่านหิน หินน้ำมัน หรือหินอื่นที่สามารถนำมากลั่นเพื่อแยกเอาน้ำมันด้วยการใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี
จะเห็นได้ว่า ผู้ใดหรือบริษัทใดได้รับสัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตน้ำมันปิโตรเลียม ก็จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ ครอบคลุมโดยแทบทุกอย่างอันเป็นความชาญฉลาดแกมโกงของผู้ร่างกฎหมายในยุคสมัยนั้น ซึ่งจากหลักฐานในการพิจารณายกร่างกฎหมายพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาวางโครงร่างและให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ คือ นายวอลเตอร์ ลีวาย มันสมองคนสำคัญของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งตระกูล ร็อกกี้ เฟลเลอร์ ขณะนั้น คือ “สแตนดาร์ด ออยล์” ต่อมาซื้อ “บริษัท ยูโนแคล” แล้วก็จัดตั้ง บริษัท เชฟรอน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงยิ่งในเอเชียปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายวอลเตอร์ ลีวาย ยังเป็นที่ปรึกษาของธนาคารโลกด้านแนวทางพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก ถือได้ว่า พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฉบับแรกนี้เป็น “ฉบับฝรั่งร่างฝรั่งรวย” เป็นกฎหมายซึ่งวางแม่บทรากฐานสำคัญครอบงำแนวทางพัฒนาปิโตรเลียมแบบที่ทำให้ไทยต้องพึ่งพาขึ้นต่อเสียเปรียบต่างชาติ และบริษัทผูกขาดน้ำมันในประเทศเบ็ดเสร็จถึงทุกวันนี้ (อ่านบทความเรื่อง มหากาพย์ขุมทรัพย์ปิโตรเลียม จะแล่เนื้อถือหนังประชาชนไทยไปถึงไหน (1) ของ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร, ไทยโพสต์ 15 พ.ค. 2555)
เหตุที่พระราชบัญญัติปิโตรเลียมฯ กำหนดคำนิยามไว้กว้างและครอบคลุมดังกล่าว ก็เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏในคำนิยามนั้น ล้วนแต่เป็นทรัพยากรอันมีค่า เมื่อพิจารณาตามข้อมูลความรู้เกี่ยวกับปิโตรเลียม ก็จะเห็นว่ามีส่วนประกอบที่เป็นพลังงาน ดังนี้
ตามนิยามปิโตรเลียมหมายถึง สารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก 2 ชนิด คือ คาร์บอน และ ไฮโดรเจน โดยอาจมีธาตุอโลหะชนิดอื่น เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมเป็นได้ทั้ง ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียมเองเป็นสำคัญ นอกจากนี้ความร้อน และความกดดันของสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมนั้นถูกกักเก็บก็มีส่วนในการกำหนดสถานะของปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมแบ่งตามสถานะที่สำคัญได้ 2 ชนิด คือ น้ำมันดิบ และ ก๊าซธรรมชาติ
น้ำมันดิบ สถานะตามธรรมชาติ น้ำมันดิบเป็น ของเหลว ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเป็นสารกำมะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่น
น้ำมันดิบแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามคุณสมบัติและชนิดของไฮโดรคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบ คือ น้ำมันดิบฐานพาราฟิน น้ำมันดิบฐานแอสฟัลท์ และ น้ำมันดิบฐานผสม น้ำมันดิบทั้ง 3 ประเภท เมื่อนำไปกลั่นจะให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่อยู่ในรูปของ ก๊าซ ณ อุณหภูมิ และความกดดันที่ผิวโลก ก๊าซธรรมชาติประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนเป็นหลัก อาจมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 95 ส่วนที่เหลือ ได้แก่ ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ บางครั้งจะพบไฮโดรเจนซัลไฟด์ปะปนอยู่ด้วย
ไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติ จัดอยู่ในอนุกรมพาราฟินมีสภาพอิ่มตัวในบรรยากาศ และไม่เปลี่ยนแปลงทางเคมีใดๆ ในสภาวะปกติ ไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มนี้ มีเทน มีน้ำหนักเบาที่สุด และจุดเดือดต่ำที่สุด มีอยู่ในก๊าซธรรมชาติมากที่สุด ถึงร้อยละ 70 ขึ้นไป
ก๊าซธรรมชาติในที่นี้หมายรวมถึง ก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มเดียวกันกับก๊าซธรรมชาติ แต่มีปริมาณคาร์บอนอะตอมในโครงสร้างโมเลกุลมากกว่าก๊าซธรรมชาติ เมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลกซึ่งมีอุณหภูมิและความดันสูงจะมีสภาพเป็นก๊าซ และจะกลายสภาพเป็นของเหลวเมื่อขึ้นมาสู่พื้นผิว จึงเรียกว่า ก๊าซธรรมชาติเหลว
การทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า “ปิโตรเลียม” นอกจากจะทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องปิโตรเลียมแล้ว ก็ยังจะเป็นแนวทางให้เรานำมาพิจารณาว่า ในประเทศของเรามีสิ่งเหล่านี้มีอยู่มากน้อยเพียงใด โดยการศึกษาและสำรวจในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อมูลความรู้เหล่านี้ในปัจจุบันเป็นที่เปิดเผยและรับทราบโดยทั่วไปว่าประเทศไทยมีแหล่งปิโตรเลียมมหาศาล
นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะมีผลเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง ผลประโยชน์ตอบแทนจากส่วนแบ่งกำไร ภาษีเงินได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม และค่าภาคหลวง หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมถึงระยะเวลาของสัมปทาน ที่รัฐบาลไทยจะกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่อรองและเรียกค่าสัมปทานจากบริษัททั้งหลาย ที่ได้รับอนุญาตให้ได้ประกอบกิจการปิโตรเลียม และได้รับสัมปทานในการสำรวจขุดเจาะผลิตน้ำมันอันเป็นทรัพยากรที่มีค่าและหายาก และถือเป็นสมบัติของคนไทยร่วมกันทุกคน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความอัปยศและความฉ้อฉลที่ประเทศไทย ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง เสียเปรียบ ถูกครอบงำ และปล้นสะดมไปโดยน้ำมือของบริษัทน้ำมันต่างชาติยักษ์ใหญ่ของโลกที่แห่เข้ามาสวาปาม แหล่งผลประโยชน์อันมหาศาลในประเทศไทย โดยมีกฎหมายฉบับนี้เป็นใบเบิกทางและมีข้าราชการ นักการเมืองไทย เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ ดังปรากฏจุดโหว่และช่องว่างในกฎหมายฉบับนี้ ในหลายเรื่องหลายประเด็นซึ่งผู้เขียนจะได้เสนอในตอนต่อไป
จะเห็นได้ว่า ผู้ใดหรือบริษัทใดได้รับสัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตน้ำมันปิโตรเลียม ก็จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ ครอบคลุมโดยแทบทุกอย่างอันเป็นความชาญฉลาดแกมโกงของผู้ร่างกฎหมายในยุคสมัยนั้น ซึ่งจากหลักฐานในการพิจารณายกร่างกฎหมายพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาวางโครงร่างและให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ คือ นายวอลเตอร์ ลีวาย มันสมองคนสำคัญของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งตระกูล ร็อกกี้ เฟลเลอร์ ขณะนั้น คือ “สแตนดาร์ด ออยล์” ต่อมาซื้อ “บริษัท ยูโนแคล” แล้วก็จัดตั้ง บริษัท เชฟรอน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงยิ่งในเอเชียปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายวอลเตอร์ ลีวาย ยังเป็นที่ปรึกษาของธนาคารโลกด้านแนวทางพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก ถือได้ว่า พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฉบับแรกนี้เป็น “ฉบับฝรั่งร่างฝรั่งรวย” เป็นกฎหมายซึ่งวางแม่บทรากฐานสำคัญครอบงำแนวทางพัฒนาปิโตรเลียมแบบที่ทำให้ไทยต้องพึ่งพาขึ้นต่อเสียเปรียบต่างชาติ และบริษัทผูกขาดน้ำมันในประเทศเบ็ดเสร็จถึงทุกวันนี้ (อ่านบทความเรื่อง มหากาพย์ขุมทรัพย์ปิโตรเลียม จะแล่เนื้อถือหนังประชาชนไทยไปถึงไหน (1) ของ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร, ไทยโพสต์ 15 พ.ค. 2555)
เหตุที่พระราชบัญญัติปิโตรเลียมฯ กำหนดคำนิยามไว้กว้างและครอบคลุมดังกล่าว ก็เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏในคำนิยามนั้น ล้วนแต่เป็นทรัพยากรอันมีค่า เมื่อพิจารณาตามข้อมูลความรู้เกี่ยวกับปิโตรเลียม ก็จะเห็นว่ามีส่วนประกอบที่เป็นพลังงาน ดังนี้
ตามนิยามปิโตรเลียมหมายถึง สารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก 2 ชนิด คือ คาร์บอน และ ไฮโดรเจน โดยอาจมีธาตุอโลหะชนิดอื่น เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมเป็นได้ทั้ง ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียมเองเป็นสำคัญ นอกจากนี้ความร้อน และความกดดันของสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมนั้นถูกกักเก็บก็มีส่วนในการกำหนดสถานะของปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมแบ่งตามสถานะที่สำคัญได้ 2 ชนิด คือ น้ำมันดิบ และ ก๊าซธรรมชาติ
น้ำมันดิบ สถานะตามธรรมชาติ น้ำมันดิบเป็น ของเหลว ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเป็นสารกำมะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่น
น้ำมันดิบแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามคุณสมบัติและชนิดของไฮโดรคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบ คือ น้ำมันดิบฐานพาราฟิน น้ำมันดิบฐานแอสฟัลท์ และ น้ำมันดิบฐานผสม น้ำมันดิบทั้ง 3 ประเภท เมื่อนำไปกลั่นจะให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่อยู่ในรูปของ ก๊าซ ณ อุณหภูมิ และความกดดันที่ผิวโลก ก๊าซธรรมชาติประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนเป็นหลัก อาจมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 95 ส่วนที่เหลือ ได้แก่ ไนโตรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ บางครั้งจะพบไฮโดรเจนซัลไฟด์ปะปนอยู่ด้วย
ไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติ จัดอยู่ในอนุกรมพาราฟินมีสภาพอิ่มตัวในบรรยากาศ และไม่เปลี่ยนแปลงทางเคมีใดๆ ในสภาวะปกติ ไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มนี้ มีเทน มีน้ำหนักเบาที่สุด และจุดเดือดต่ำที่สุด มีอยู่ในก๊าซธรรมชาติมากที่สุด ถึงร้อยละ 70 ขึ้นไป
ก๊าซธรรมชาติในที่นี้หมายรวมถึง ก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มเดียวกันกับก๊าซธรรมชาติ แต่มีปริมาณคาร์บอนอะตอมในโครงสร้างโมเลกุลมากกว่าก๊าซธรรมชาติ เมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลกซึ่งมีอุณหภูมิและความดันสูงจะมีสภาพเป็นก๊าซ และจะกลายสภาพเป็นของเหลวเมื่อขึ้นมาสู่พื้นผิว จึงเรียกว่า ก๊าซธรรมชาติเหลว
การทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า “ปิโตรเลียม” นอกจากจะทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องปิโตรเลียมแล้ว ก็ยังจะเป็นแนวทางให้เรานำมาพิจารณาว่า ในประเทศของเรามีสิ่งเหล่านี้มีอยู่มากน้อยเพียงใด โดยการศึกษาและสำรวจในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อมูลความรู้เหล่านี้ในปัจจุบันเป็นที่เปิดเผยและรับทราบโดยทั่วไปว่าประเทศไทยมีแหล่งปิโตรเลียมมหาศาล
นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะมีผลเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง ผลประโยชน์ตอบแทนจากส่วนแบ่งกำไร ภาษีเงินได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม และค่าภาคหลวง หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมถึงระยะเวลาของสัมปทาน ที่รัฐบาลไทยจะกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่อรองและเรียกค่าสัมปทานจากบริษัททั้งหลาย ที่ได้รับอนุญาตให้ได้ประกอบกิจการปิโตรเลียม และได้รับสัมปทานในการสำรวจขุดเจาะผลิตน้ำมันอันเป็นทรัพยากรที่มีค่าและหายาก และถือเป็นสมบัติของคนไทยร่วมกันทุกคน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการปฏิบัติของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความอัปยศและความฉ้อฉลที่ประเทศไทย ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง เสียเปรียบ ถูกครอบงำ และปล้นสะดมไปโดยน้ำมือของบริษัทน้ำมันต่างชาติยักษ์ใหญ่ของโลกที่แห่เข้ามาสวาปาม แหล่งผลประโยชน์อันมหาศาลในประเทศไทย โดยมีกฎหมายฉบับนี้เป็นใบเบิกทางและมีข้าราชการ นักการเมืองไทย เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ ดังปรากฏจุดโหว่และช่องว่างในกฎหมายฉบับนี้ ในหลายเรื่องหลายประเด็นซึ่งผู้เขียนจะได้เสนอในตอนต่อไป