ไม่รู้ว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตามขุนพลเศรษฐกิจคู่บารมีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สังหารตัวเองไปแล้วเรียบร้อย
การประกาศยอมรับว่า เป้าส่งออกปีนี้ที่ตั้งขยายตัวไว้ 15% เป็นเรื่องโกหก นายกิตติรัตน์อาจรู้สึกเท่ห์ แต่เป็นความเท่ห์ที่ไม่มีสังคมไหนยอมรับได้
เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นข้อมูลที่ไม่อาจนำมาโกหกกันเล่นๆได้ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่จะถูกนำไปอ้างอิง ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกำหนดแผนการดำเนินธุรกิจ การค้า และการลงทุน
ถ้ารัฐบาลโมเมโกหกตัวเลข แผนการทางธุรกิจ การค้า และการลงทุนของหน่วยงานหรือองค์กรภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศจะพินาศกันหมด
และการโกหกเพียงครั้งเดียว ความเชื่อถือของรัฐบาลจะหมดลงในทัน เพราะตัวเลขการส่งออกรัฐบาลยังโกหกได้ ต่อไปใครจะเชื่อว่า ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่แหกตา
นายกิตติรัตน์อ้างว่า ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้พูดโกหกในบางเรื่องได้ และที่ต้องโกหกเป้าหมายการส่งออกนั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แต่สิ่งที่น่ากิตติรัตน์ต้องตอบคือ ระหว่างการปั้นการส่งออกที่เป็นเท็จกับตัวเลขที่เป็นจริง ประเด็นไหนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นกับนักลงทุนมากกว่ากัน
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดเป็นประวัติการของประเทศเมื่อปี 2540 ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความล่มสลาย สถาบันการเงินล้มระเนนระนาด คนตกงานกันทั่วประเทศ ไม่ได้มีชนวนเหตุจากรัฐบาลสมัยนั้นโกหก
แต่เป็นเพราะไม่มีการส่งสัญญาณให้ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจรู้ว่า ระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินกำลังมีปัญหา ไม่มีคำเตือนถึงฟองสบู่ที่กำลังจะแตก ฐานะของประเทศกำลังย่ำแย่ ทำให้ประชาชนไม่มีการเตรียมรับมือใดๆ กับวิกฤตที่เกิดขึ้น
เพียงแค่การส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ผิด หรือไม่ยอมส่งสัญญาณเตือนถึงวิกฤตที่คืบคลานเข้ามา ก็ถือเป็นความผิดพลาดมหันต์แล้ว
แต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์กลับจงใจปั้นข้อมูลแหกตาประชาชนและชาวโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายและสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างร้ายแรง
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อาจมีความดื้อด้านเป็นพิเศษ ทนต่อเสียงวิพากษ์และดูหมิ่นเหยียดหยามได้ แต่คำประณามจากทั้งโลก คงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นายกิตติรัตน์หรือรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เท่านั้น
แต่คนไทยทั้งประเทศต้องรับเคราะห์ไปด้วย เพราะต่างชาติจะมองภาพลักษณ์ไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความโกหก เต็มไปด้วยคนโกหก และมีรัฐบาลจอมโกหกปกครอง
ทำไมนายกิตติรัตน์จึงเป็นคนโกหก ถ้าย้อนดูภูมิหลังคนคนนี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนายกิตติรัตน์เติบโตมาจากแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งเป็นแหล่งรวมของการสร้างภาพลวงตาอยู่แล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนายกิตติรัตน์เคยเป็นกรรมการและผู้จัดการถูกสร้างภาพว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดมทุนและลงทุน ทั้งที่ยังสลัดคราบการเป็นบ่อนพนันไม่พ้น ถูกสร้างภาพว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการคุ้มครองนักลงทุนที่ดี ทั้งที่เต็มไปด้วยการปั่นหุ้น
และสร้างภาพลวงตาว่า คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะได้ร่ำได้รวย ได้รับผลตอบแทนที่คุ้ม ทั้งที่ประชาชนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่เสียมากกว่าได้
หมดเนื้อหมดตัวมากกว่าร่ำรวยขึ้นมา
นายกิตติรัตน์สัมผัสกับการสร้างภาพลวงตามาอย่างโชกโชนจนชินชา และอาจซึมซับวิธีการสร้างภาพอย่างไม่รู้สึกกระดากใจ และกลายเป็นขุนพลเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลังคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ประกาศว่า ตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจที่ประกาศไป เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเศรษฐกิจจึงฝืดเคือง ทำไมการค้าขายจึงซบเซา ทำไมข้าวของราคาแพง ทำไมประชาชนจึงเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ
เพราะเมื่อขุนพลเศรษฐกิจมัวแต่คิดปั้นแต่งตัวเลขโกหก จะมีเวลา จะมีสมองส่วนไหนไปคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
กระแสเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเริ่มดังขึ้นแล้ว แต่นายกิตติรัตน์ลงทุนถึงขนาดยอมพลีกาย ถวายชีวิตรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ได้ตำแหน่งมาแล้ว คงไม่ยอมแสดงสปิริตง่ายๆ แน่
แต่จะอยู่ต่อไปอย่างไร เพราะต่อไปขุนพลเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์พูดอะไร ใครจะเชื่อว่า สิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องแหกตา
และนายกิตติรัตน์จะคอยกำกับคำพูดตัวเองทุกครั้งหรือไม่ว่า ตัวเลขหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจตัวใดบ้างที่ไม่โกหก
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ถ้าจะจัดอันดับให้เป็นรัฐบาลชุดจอมโกหก คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยรัฐมนตรีที่ปลิ้นปล้อน โกหก หลอกลวง และไม่รู้ว่ามีใครบางคนโกหกมันได้ทุกเรื่องหรือไม่
สำหรับนายกิตติรัตน์ดีที่เป็นผู้ชาย จึงประณามได้เพียงคำว่า “แหกตา” หน้าเป็น เพราะถ้าเป็นผู้หญิง คงถูกประณามไปแล้วว่า “ตอแหล” หน้าระรื่น
การประกาศยอมรับว่า เป้าส่งออกปีนี้ที่ตั้งขยายตัวไว้ 15% เป็นเรื่องโกหก นายกิตติรัตน์อาจรู้สึกเท่ห์ แต่เป็นความเท่ห์ที่ไม่มีสังคมไหนยอมรับได้
เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นข้อมูลที่ไม่อาจนำมาโกหกกันเล่นๆได้ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่จะถูกนำไปอ้างอิง ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกำหนดแผนการดำเนินธุรกิจ การค้า และการลงทุน
ถ้ารัฐบาลโมเมโกหกตัวเลข แผนการทางธุรกิจ การค้า และการลงทุนของหน่วยงานหรือองค์กรภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศจะพินาศกันหมด
และการโกหกเพียงครั้งเดียว ความเชื่อถือของรัฐบาลจะหมดลงในทัน เพราะตัวเลขการส่งออกรัฐบาลยังโกหกได้ ต่อไปใครจะเชื่อว่า ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่แหกตา
นายกิตติรัตน์อ้างว่า ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้พูดโกหกในบางเรื่องได้ และที่ต้องโกหกเป้าหมายการส่งออกนั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แต่สิ่งที่น่ากิตติรัตน์ต้องตอบคือ ระหว่างการปั้นการส่งออกที่เป็นเท็จกับตัวเลขที่เป็นจริง ประเด็นไหนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นกับนักลงทุนมากกว่ากัน
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดเป็นประวัติการของประเทศเมื่อปี 2540 ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความล่มสลาย สถาบันการเงินล้มระเนนระนาด คนตกงานกันทั่วประเทศ ไม่ได้มีชนวนเหตุจากรัฐบาลสมัยนั้นโกหก
แต่เป็นเพราะไม่มีการส่งสัญญาณให้ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจรู้ว่า ระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินกำลังมีปัญหา ไม่มีคำเตือนถึงฟองสบู่ที่กำลังจะแตก ฐานะของประเทศกำลังย่ำแย่ ทำให้ประชาชนไม่มีการเตรียมรับมือใดๆ กับวิกฤตที่เกิดขึ้น
เพียงแค่การส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ผิด หรือไม่ยอมส่งสัญญาณเตือนถึงวิกฤตที่คืบคลานเข้ามา ก็ถือเป็นความผิดพลาดมหันต์แล้ว
แต่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์กลับจงใจปั้นข้อมูลแหกตาประชาชนและชาวโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายและสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างร้ายแรง
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อาจมีความดื้อด้านเป็นพิเศษ ทนต่อเสียงวิพากษ์และดูหมิ่นเหยียดหยามได้ แต่คำประณามจากทั้งโลก คงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นายกิตติรัตน์หรือรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เท่านั้น
แต่คนไทยทั้งประเทศต้องรับเคราะห์ไปด้วย เพราะต่างชาติจะมองภาพลักษณ์ไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความโกหก เต็มไปด้วยคนโกหก และมีรัฐบาลจอมโกหกปกครอง
ทำไมนายกิตติรัตน์จึงเป็นคนโกหก ถ้าย้อนดูภูมิหลังคนคนนี้ ก็คงไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนายกิตติรัตน์เติบโตมาจากแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งเป็นแหล่งรวมของการสร้างภาพลวงตาอยู่แล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนายกิตติรัตน์เคยเป็นกรรมการและผู้จัดการถูกสร้างภาพว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดมทุนและลงทุน ทั้งที่ยังสลัดคราบการเป็นบ่อนพนันไม่พ้น ถูกสร้างภาพว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการคุ้มครองนักลงทุนที่ดี ทั้งที่เต็มไปด้วยการปั่นหุ้น
และสร้างภาพลวงตาว่า คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะได้ร่ำได้รวย ได้รับผลตอบแทนที่คุ้ม ทั้งที่ประชาชนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่เสียมากกว่าได้
หมดเนื้อหมดตัวมากกว่าร่ำรวยขึ้นมา
นายกิตติรัตน์สัมผัสกับการสร้างภาพลวงตามาอย่างโชกโชนจนชินชา และอาจซึมซับวิธีการสร้างภาพอย่างไม่รู้สึกกระดากใจ และกลายเป็นขุนพลเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลังคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ประกาศว่า ตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจที่ประกาศไป เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเศรษฐกิจจึงฝืดเคือง ทำไมการค้าขายจึงซบเซา ทำไมข้าวของราคาแพง ทำไมประชาชนจึงเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ
เพราะเมื่อขุนพลเศรษฐกิจมัวแต่คิดปั้นแต่งตัวเลขโกหก จะมีเวลา จะมีสมองส่วนไหนไปคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
กระแสเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเริ่มดังขึ้นแล้ว แต่นายกิตติรัตน์ลงทุนถึงขนาดยอมพลีกาย ถวายชีวิตรับใช้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ได้ตำแหน่งมาแล้ว คงไม่ยอมแสดงสปิริตง่ายๆ แน่
แต่จะอยู่ต่อไปอย่างไร เพราะต่อไปขุนพลเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์พูดอะไร ใครจะเชื่อว่า สิ่งที่พูดไม่ใช่เรื่องแหกตา
และนายกิตติรัตน์จะคอยกำกับคำพูดตัวเองทุกครั้งหรือไม่ว่า ตัวเลขหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจตัวใดบ้างที่ไม่โกหก
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ถ้าจะจัดอันดับให้เป็นรัฐบาลชุดจอมโกหก คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยรัฐมนตรีที่ปลิ้นปล้อน โกหก หลอกลวง และไม่รู้ว่ามีใครบางคนโกหกมันได้ทุกเรื่องหรือไม่
สำหรับนายกิตติรัตน์ดีที่เป็นผู้ชาย จึงประณามได้เพียงคำว่า “แหกตา” หน้าเป็น เพราะถ้าเป็นผู้หญิง คงถูกประณามไปแล้วว่า “ตอแหล” หน้าระรื่น