ASTVผู้จัดการรายวัน – น้ำท่วมใหญ่ทำอสังหาฯเปลี่ยนทิศ 7 เดือนแนวราบเปิดตัวใหม่ลดฮวบ 40% ส่วนคอนโดฯ โตส่วนทางโต 46% ครองส่วนแบ่งตลาด 70% ทุบสถิติในประวัติศาสตร์ตลาดที่อยู่อาศัยไทย สมุทรปราการแซมป์คอนโดฯเปิดมากสุด คาดสาเหตุบ้านราคาแพงกดดันผู้บริโภคหันซื้อคอนโดฯนอกเมือง
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ในปีนี้ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปอย่างมากพิจารณาได้จากตัวเลขที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในรอบ 7 เดือน 2555 พบว่า แม้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 1% คือจำนวน 51,892 หน่วย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 ที่มีจำนวน 51,356 หน่วย
ทั้งนี้หากแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยจะพบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดใหม่มีจำนวนเพียง 16,142 หน่วย ลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีจำนวน 26,909 หน่วย ขณะที่ตลาดแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมมีการเปิดโครงการใหม่ 35,750 หน่วย เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีจำนวน 24,447 หน่วย
“ตัวเลขการเปิดตัวของคอนโดมิเนียมดังกล่าวถือว่าทุบสถิติของตลาดที่อยู่อาศัย เพราะที่ผ่านมาบ้านแนวราบจะครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ แต่เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมเริ่มขยับขึ้นมา ครองส่วนแบ่งตลาดแต่ก็ไม่เคยเกิน 55-56% แต่สำหรับปีนี้หากวัดกันเป็นเปอร์เซ็นต์ คอนโดฯเปิดใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70% ส่วนแนวราบรวมกันแค่ 30%” นายอิสระ กล่าวและว่า
ส่วนคอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่ในรอบ 6 เดือนมีจำนวน 32,174 หน่วยเพิ่มขึ้น 74% ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เพียง 1% เท่านั้น โดยคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการมากที่สุด รองลงมาปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และนครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 25%
นายอิสระ กล่าวต่อว่า การที่ภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งมาจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่พร้อมในการพัฒนาโครงการแนวราบใหม่ เพราะต้องรอถมที่ ซึ่งต้องใช้เวลานาน ต้องออกแบบผังโครงการใหม่ เมื่อถมที่เสร็จต้องรอผู้รับเหมา ทำให้ต้องใช้เวลาเกินกว่า 6 เดือนในการเตรียมที่ดินเพื่อเปิดโครงการใหม่ ในขณะที่คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่อยู่ในเมืองและไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ใช้ที่ดินในการพัฒนาน้อยจึงสามารถเปิดขายได้เร็วกว่า นอกจากนี้ในปัจจุบันผู้บริโภคเองยังให้ความเชื่อมั่นตลาดคอนโดฯมากกว่าบ้านแนวราบ
นอกจากนี้ การที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ยังกดดันให้ผู้บริโภคที่มีงบจำกัดต้องไปซื้อที่อยู่อาศัยที่มีทำเลห่างออกไป แต่อยู่ไกลจากในเมืองหรือห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางมายังสถานีรถไฟฟ้า หรือสถานีปลายทางง่าย ใช้เวลาไม่นาน ข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลให้คอนโดมิเนียมปลายสถานีรถไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น
“ถ้าในทำเลทในรัศมี 5-6 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟฟ้ามีทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทขาย ทำเลนี้คอนโดมิเนียมจะไม่เกิดหรือขายยาก แต่หากผู้ประกอบการไม่สามารถสร้างทาวน์เฮาส์ในราคา 1.5 ล้านบาท หรือราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท ทำเลนี้คอนโดฯจะขายได้ เพราะผู้บริโภคไม่มีทางเลือก อย่างไรก็ตามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาตลาดแนวราบเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาโดยมียอดเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของคอนโดมิเนียมที่ขณะนี้เปิดตัวน้อยลงมาก“ นายอิสระกล่าว
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ในปีนี้ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปอย่างมากพิจารณาได้จากตัวเลขที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในรอบ 7 เดือน 2555 พบว่า แม้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 1% คือจำนวน 51,892 หน่วย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 ที่มีจำนวน 51,356 หน่วย
ทั้งนี้หากแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยจะพบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดใหม่มีจำนวนเพียง 16,142 หน่วย ลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีจำนวน 26,909 หน่วย ขณะที่ตลาดแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมมีการเปิดโครงการใหม่ 35,750 หน่วย เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีจำนวน 24,447 หน่วย
“ตัวเลขการเปิดตัวของคอนโดมิเนียมดังกล่าวถือว่าทุบสถิติของตลาดที่อยู่อาศัย เพราะที่ผ่านมาบ้านแนวราบจะครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ แต่เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมเริ่มขยับขึ้นมา ครองส่วนแบ่งตลาดแต่ก็ไม่เคยเกิน 55-56% แต่สำหรับปีนี้หากวัดกันเป็นเปอร์เซ็นต์ คอนโดฯเปิดใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 70% ส่วนแนวราบรวมกันแค่ 30%” นายอิสระ กล่าวและว่า
ส่วนคอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่ในรอบ 6 เดือนมีจำนวน 32,174 หน่วยเพิ่มขึ้น 74% ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ เพียง 1% เท่านั้น โดยคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการมากที่สุด รองลงมาปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และนครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ 25%
นายอิสระ กล่าวต่อว่า การที่ภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งมาจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่พร้อมในการพัฒนาโครงการแนวราบใหม่ เพราะต้องรอถมที่ ซึ่งต้องใช้เวลานาน ต้องออกแบบผังโครงการใหม่ เมื่อถมที่เสร็จต้องรอผู้รับเหมา ทำให้ต้องใช้เวลาเกินกว่า 6 เดือนในการเตรียมที่ดินเพื่อเปิดโครงการใหม่ ในขณะที่คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่อยู่ในเมืองและไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ใช้ที่ดินในการพัฒนาน้อยจึงสามารถเปิดขายได้เร็วกว่า นอกจากนี้ในปัจจุบันผู้บริโภคเองยังให้ความเชื่อมั่นตลาดคอนโดฯมากกว่าบ้านแนวราบ
นอกจากนี้ การที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ยังกดดันให้ผู้บริโภคที่มีงบจำกัดต้องไปซื้อที่อยู่อาศัยที่มีทำเลห่างออกไป แต่อยู่ไกลจากในเมืองหรือห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางมายังสถานีรถไฟฟ้า หรือสถานีปลายทางง่าย ใช้เวลาไม่นาน ข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลให้คอนโดมิเนียมปลายสถานีรถไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น
“ถ้าในทำเลทในรัศมี 5-6 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟฟ้ามีทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทขาย ทำเลนี้คอนโดมิเนียมจะไม่เกิดหรือขายยาก แต่หากผู้ประกอบการไม่สามารถสร้างทาวน์เฮาส์ในราคา 1.5 ล้านบาท หรือราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท ทำเลนี้คอนโดฯจะขายได้ เพราะผู้บริโภคไม่มีทางเลือก อย่างไรก็ตามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาตลาดแนวราบเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาโดยมียอดเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของคอนโดมิเนียมที่ขณะนี้เปิดตัวน้อยลงมาก“ นายอิสระกล่าว
