ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.ดันแผนเพิ่มผลตอบแทนนำเงินทุนสำรองฯ ไปลงทุนนอกประเทศเพิ่มเติมในส่วนของตราสารหนี้กลุ่มประเทศละตินอเมริกาที่เศรษฐกิจสดใส จากก่อนหน้านี้ขยับไปลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจดีในเอเชีย ด้าน ดร.โกร่ง เริ่มคิดใหม่ ไม่อยากให้ลงทุนหุ้น เหตุยังเสี่ยง
นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงประเภทของตราสารหนี้ที่ ธปท.สามารถนำทุนสำรองฯ ไปลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น นอกเหนือจากการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ และสินทรัพย์ของสกุลเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ในระดับที่ดี
และมีความเข้มแข็งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศตะวันตกแล้วว่า ในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขออนุญาตคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาเพิ่มเติมด้วย
“ขณะนี้ ธปท.สนใจนำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีในเอเชีย ละตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก ซึ่งหลายประเทศเราเริ่มปรับทุนสำรองทางการไปลงทุนแล้ว และอีกบางประเทศอยู่ระหว่างขออนุญาตบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อลงทุน ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่ ธปท.จะได้รับจากการลงทุนจะสูงกว่าการลงทุนในสกุลเงินหลักของโลกอย่างสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ สกุลยูโร สกุลเยนของญี่ปุ่น และสกุลปอนด์ของอังกฤษ โดยที่เราพยายามกระจายความเสี่ยงให้เท่าเดิม หรือใกล้เคียงกับเดิมมากที่สุด”
นอกจากนั้น ธปท.มีความสนใจที่จะลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure fund) ซึ่งในช่วงต่อไปเชื่อว่า รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะออกมาระดมทุนผ่านช่องทางนี้จำนวนมาก เพื่อรองรับการลงทุนในการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แต่ในขณะนี้ยังทำไม่ได้ เพราะตามกฎหมายของธปท.ไม่สามารถที่จะนำทุนสำรองไปลงทุนในหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนให้หุ้นได้ และนอกจากนั้น หากกฎหมายแก้ให้ลงทุนได้ก็ยังจะไม่สามารถลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลไทยออกได้อยู่ดี เพราะตามกฎหมายทุนสำรองทางการ จะลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์นอกราชอาณาจักรเท่านั้น หากธปท.ลงทุนในประเทศ จะถูกแยกบัญชีออกมาไม่นับเป็นทุนสำรองทางการฯ
**ห่วงแย่งหน้าที่ดูแลนโยบายการเงิน**
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายช่วยงานบริหาร ธปท. กล่าวว่า ในทางกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนไม่ให้นำทุนสำรองฯ ไปลงทุนภายในประเทศ เพราะห่วงว่าจะกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงิน โดยการทำหน้าที่ของธปท.ในดำเนินนโยบายการเงินก็เหมือนกับการสร้างเงินเข้าสู่ระบบ หากเงินในระบบขาด ธปท.จะใส่เงินเข้าสู่ระบบ แต่เมื่อใดที่เงินเกิน ธปท.จะทำหน้าที่ดูดซับปริมาณเงินที่ออกมา จึงถือเป็นการแย่งหน้าที่ในการดูแลนโยบายการเงินให้ปริมาณเงินเพิ่มหรือลดลงมากขึ้น ฉะนั้นในกฎหมายกำหนดให้การบริหารทรัพย์สินเงินทุนสำรองต้องดำเนินการภายนอกประเทศเท่านั้น
**"ดร.โกร่ง" คิดใหม่ไม่ต้องลงทุนในหุ้น**
แหล่งข่าวจากธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของธปท.ซึ่งมีนายคณิศ แสงสุพรรณ นั่งเป็นประธาน ได้เสนอแนวทางการเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศที่ยังขยายตัวได้แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ดี พร้อมทั้งแนวทางการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ลงทุนในหุ้นในอนาคตได้และทางบอร์ดแบงก์ชาติเห็นด้วยที่จะให้ปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการนำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนในหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ในเบื้องต้นนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานบอร์ดแบงก์ชาติแสดงความคิดที่ไม่เห็นด้วย เพราะห่วงว่าอาจจะเห็นความเสี่ยงที่มากเกินไป.
นางสุชาดา กิระกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงประเภทของตราสารหนี้ที่ ธปท.สามารถนำทุนสำรองฯ ไปลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น นอกเหนือจากการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ และสินทรัพย์ของสกุลเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ในระดับที่ดี
และมีความเข้มแข็งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศตะวันตกแล้วว่า ในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขออนุญาตคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาเพิ่มเติมด้วย
“ขณะนี้ ธปท.สนใจนำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีในเอเชีย ละตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก ซึ่งหลายประเทศเราเริ่มปรับทุนสำรองทางการไปลงทุนแล้ว และอีกบางประเทศอยู่ระหว่างขออนุญาตบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อลงทุน ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่ ธปท.จะได้รับจากการลงทุนจะสูงกว่าการลงทุนในสกุลเงินหลักของโลกอย่างสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ สกุลยูโร สกุลเยนของญี่ปุ่น และสกุลปอนด์ของอังกฤษ โดยที่เราพยายามกระจายความเสี่ยงให้เท่าเดิม หรือใกล้เคียงกับเดิมมากที่สุด”
นอกจากนั้น ธปท.มีความสนใจที่จะลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure fund) ซึ่งในช่วงต่อไปเชื่อว่า รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะออกมาระดมทุนผ่านช่องทางนี้จำนวนมาก เพื่อรองรับการลงทุนในการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แต่ในขณะนี้ยังทำไม่ได้ เพราะตามกฎหมายของธปท.ไม่สามารถที่จะนำทุนสำรองไปลงทุนในหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนให้หุ้นได้ และนอกจากนั้น หากกฎหมายแก้ให้ลงทุนได้ก็ยังจะไม่สามารถลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลไทยออกได้อยู่ดี เพราะตามกฎหมายทุนสำรองทางการ จะลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์นอกราชอาณาจักรเท่านั้น หากธปท.ลงทุนในประเทศ จะถูกแยกบัญชีออกมาไม่นับเป็นทุนสำรองทางการฯ
**ห่วงแย่งหน้าที่ดูแลนโยบายการเงิน**
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายช่วยงานบริหาร ธปท. กล่าวว่า ในทางกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนไม่ให้นำทุนสำรองฯ ไปลงทุนภายในประเทศ เพราะห่วงว่าจะกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงิน โดยการทำหน้าที่ของธปท.ในดำเนินนโยบายการเงินก็เหมือนกับการสร้างเงินเข้าสู่ระบบ หากเงินในระบบขาด ธปท.จะใส่เงินเข้าสู่ระบบ แต่เมื่อใดที่เงินเกิน ธปท.จะทำหน้าที่ดูดซับปริมาณเงินที่ออกมา จึงถือเป็นการแย่งหน้าที่ในการดูแลนโยบายการเงินให้ปริมาณเงินเพิ่มหรือลดลงมากขึ้น ฉะนั้นในกฎหมายกำหนดให้การบริหารทรัพย์สินเงินทุนสำรองต้องดำเนินการภายนอกประเทศเท่านั้น
**"ดร.โกร่ง" คิดใหม่ไม่ต้องลงทุนในหุ้น**
แหล่งข่าวจากธปท.กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของธปท.ซึ่งมีนายคณิศ แสงสุพรรณ นั่งเป็นประธาน ได้เสนอแนวทางการเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศที่ยังขยายตัวได้แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ดี พร้อมทั้งแนวทางการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ลงทุนในหุ้นในอนาคตได้และทางบอร์ดแบงก์ชาติเห็นด้วยที่จะให้ปรับปรุงการลงทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการนำทุนสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนในหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ในเบื้องต้นนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานบอร์ดแบงก์ชาติแสดงความคิดที่ไม่เห็นด้วย เพราะห่วงว่าอาจจะเห็นความเสี่ยงที่มากเกินไป.
