ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า พ่อเจ้าประคุณรุนช่องของเหล่าสาวกธรรมกายอย่าง “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)” จะสร้างปรากฏการณ์สะท้านทั้ง 3 โลกขึ้นมาอีกครั้งหลังเพิ่งปิดแคมเปญการตลาด “ธุดงค์แคตวอล์ก” ไปได้ไม่นานนัก ด้วยการอ้างว่า เข้าญาณตรวจสอบภพภูมิใหม่ของ “สตีฟ จ็อบส์” ศาสดาของเหล่าสาวก “แอปเปิล” ว่าไปเกิดใหม่เป็น “เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ”
งานนี้ เล่นเอาผู้คนสงสัยไปตามๆ กันว่า ธมฺมชโยนะจ๊ะ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแคมเปญการตลาดระดับโลกครั้งนี้เช่นไร รวมกระทั่งถึงว่า แล้วภพภูมิใหม่ของศาสดาจ๊อบส์ที่ไปเกิดเป็นเทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ที่ศาสดาไชยบูลย์อุปโลกน์ขึ้นมานั้น มีอยู่จริงตามคำอวดอ้างหรือไม่
รวมทั้งสงสัยด้วยว่า การที่ “แอปเปิล” สามารถโค่นบัลลังก์คู่แข่งไมโครซอฟท์ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ หลังมูลค่าตลาดพุ่งทะยานแตะ 623,510 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (19.6 ล้านล้านบาท) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา จะเป็นผลมาจากบุญญาบารมีของ “ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ที่คอยเฝ้าพิทักษ์แอปเปิลอยู่กระมัง
....เรื่องราวฉาวกระฉ่อนโลกที่รังสรรค์โดย ธมฺมชโยนะจ๊ะ เกิดขึ้นในวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เมื่อทางสถานีโทรทัศน์ DMC ของวัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่สารคดี ชื่อว่า “Where is Steve Jobs” เพื่อนำเสนอชีวิตหลังความตายของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ เจ้าของผลิตภัณฑ์ชื่อดังอย่าง ไอโฟน ไอแพด รวมทั้งคอมพิวเตอร์แมคอินทอช (สารคดีฉบับเต็มสามารถชมผ่านทางhttp://www.youtube.com/watch?v=abMQPXSng2E และ http://www.dmc.tv/pages/สตีฟ-จ็อบส์-Stve-Jobs)
ทั้งนี้ สำหรับเบื้องหลังของสารคดีชุดดังกล่าว ธรรมกายระบุเอาไว้ชัดเจนว่า เป็นเพราะโทนี่ ซวง(Tony Tseung) ซึ่งเป็นวิศวกรอาวุโสของแอปเปิล จากนครคิวเปอร์ทีโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้เขียนจดหมายมาถึงพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) โดยถามว่า สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล อิงค์ ยักษ์ใหญ่วงการไอทีโลกที่เสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมานั้น เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง (อ่านจดหมายจากโทนี่ ซวงในล้อมกรอบ)
โดยจากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ www.dmc.tv/ พบว่า การนำเสนอสารคดีชุดปรโลกนิวส์แบ่งออกเป็น 3 ตอนคือ
สตีฟ จ็อบส์ ตอนที่ 1 ตายแล้วไปไหน
สตีฟ จ๊อบส์ ตอนที่ 2 ทำไม จึงเป็นคนฉลาด
และสตีฟ จ๊อบส์ ตอนที่ 3 ทำไม จึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
แถมนอกจากภาษาไทยแล้ว ยังมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนอีกต่างหาก
ทั้งนี้ เนื้อหาที่กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ก็คือ การที่ธมฺมชโยนะจ๊ะตอบคำถามถึงเรื่องดังกล่าวราวกับเป็นผู้บรรลุโสดาบัน เนื่องจากสามารถหยั่งรู้ได้ถึงขนาดว่า ก่อนที่สตีฟ จ็อบส์จะเสียชีวิตมีความรู้สึกอย่างไร ตายแล้วไปเกิดเป็นภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ รวมทั้งรู้ว่า ชาติภพที่แล้วสตีฟ จ็อบส์เกิดเป็นอะไร ทำไมชาตินี้จึงเป็นคนฉลาดและเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
“ ก่อนที่คุณสตีฟ จ็อบส์จะเสียชีวิตนั้น ภายในใจของเขาก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลในเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องครอบครัว ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นตัวเขาก็ยังอยากที่จะอยู่กับครอบครัวและยังไม่พร้อมที่จะจากครอบครัวของเขาไป หรือ เรื่องของบริษัทที่ตัวเขามีความรู้สึกที่ภาคภูมิใจมากๆ”
“หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ตัวเขาก็ได้ไปบังเกิดใหม่เป็น เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ที่มีที่อยู่ที่อาศัยซ้อนอยู่บนโลกมนุษย์ใกล้ๆ กับที่ทำงานเดิมของตัวเขาในทันที”(อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบ)
...งานนี้ ถ้าท่านเทพสตีป จ็อบส์มีญาณหยั่งรู้ได้ คงต้องอุทาน “โอ้ว้าว” ถึง 3 ครั้งกับการหยั่งรู้ของผู้นำสูงสุดแห่งลัทธิจานบินซ้ำอีกครั้ง หลังจากที่เคย พูดคำนี้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ พร้อมทั้งรังสรรค์ไอแพดรุ่นใหม่ด้วยการใช้ชื่อว่า The New iเพี้ยน เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับผู้นำลัทธิจานบินกันเลยทีเดียว
คำถามก็คือ ธมฺมชโยนะจ๊ะ ผู้ซึ่งมีคดีความและข้อหามากมายตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาและสังคมส่วนมากกังขาในเรื่องของวัตรปฏิบัติสามารถบรรลุธรรมถึงขั้นนั้นจริงหรือ
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ให้ความเห็นต่อสิ่งที่ธมฺมชโยนะจ๊ะแสดงความหยั่งรู้เอาไว้ว่า คำถามใหญ่หลังจากดูทั้งหมดก็คือ สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดรู้ได้อย่างไร ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาจริงหรือเปล่า และที่พูดเกี่ยวกับจ็อบส์มันถูกต้องจริงหรือ เขารู้จักสตีฟ จ็อปส์ดีจริงไหม แล้วคุณไปรู้ในภาวะจิตของเขาได้อย่างไร ปัญหาอยู่ตรงนี้
“เช่นตอนหนึ่งที่บทความนี้บอกว่า ณ ช่วงเวลาที่คุณสตีฟ จ็อบส์กำลังจะจากโลกนี้ไป ภาพของความวิตกกังวลและภาพของความทรงจำที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความปลื้มใจ ความไม่ปลื้มใจ ก็ได้มาปรากฏฉายอยู่ภายในใจของเขา ซึ่งภาพต่างๆ เหล่านั้น ก็มีทั้งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง, ภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส และภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสสลับปะปนกันไป ซึ่งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง ก็คือ ภาพที่ตัวเขาเป็นคนขี้โมโห, หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อารมณ์รุนแรงและโหวกเหวกโวยวายกับลูกน้องที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ หรือไม่ถูกใจตัวเขาอยู่เป็นประจำ...ซึ่งถ้าเราอ่านบทความนี้ให้ดีแล้วเขาพูดเหมือนกับว่าได้ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาแล้ว”
นอกจากนี้ พระไพศาลยังให้ความเห็นที่ตรงไปตรงมาด้วยว่า การกล่าวอ้างว่าเห็นมาจริง เช่นนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าเข้าข่ายอุตริมนุสธรรม (การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานได้สมาธิชั้นนั้นชั้นนี้ สามารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกผู้ที่ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันว่า อวดอุตริ หรือ อุตริเป็นต้น) ถือว่าผิด แต่หากบอกว่านึกขึ้นมาเอง ก็ถือว่าเข้าข่าย อาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติหนัก ทำให้ขาดจากความเป็นพระเลยทีเดียว
เฉกเช่นเดียวกับ พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยที่ให้ความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า ผู้ที่จะรู้เรื่องภพชาติได้นั้น จะเป็นผู้ที่มีอภิญญาจิต ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระอรหันต์บางองค์ยังไม่มีญาณรู้ได้ อีกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ถือศีล ภาวนาจิต คือ รักษาศีล 5 และกลัวบาป ก็สามารถเกิดในชาติภพที่ดี
แปลไทยเป็นไทยจากความเห็นของพระไพศาลและพระเทพวิสุทธิกวีก็คือ วัดพระธรรมกายมีเจตนาที่จะสำแดงให้ศิษยานุศิษย์รวมทั้งชาวโลกได้เห็นว่า ธมฺมชโยนะจ๊ะผู้เป็นศาสดาของพวกเขานั้นบรรลุธรรมถึงขั้นสำเร็จมรรคผลแล้ว ซึ่งนั่นก็มีความชัดเจนเช่นกันว่า เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม และสตีฟ จ็อบส์ก็คือเหยื่อของการอวดอุตริมนุสธรรม
สำหรับคำถามข้อที่ว่า ทำไมธมฺมชโยนะจ๊ะและวัดธรรมกายถึงจงใจและเจตนาหยิบสตีฟ จ็อบส์มาเป็นประเด็นนั้น
จริงอยู่ แม้วัดธรรมกายจะอ้างเรื่องจดหมายของโทนี่ ซวง แต่หลายคนกลับมีความเห็นไปในทางร้ายว่า วัดพระธรรมกายต้องการใช้นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเผยแผ่ลัทธิจานบินของตนเองให้แพร่หลายไปทั่วโลก เพราะต้องไม่ลืมว่า สตีฟจ็อบส์นั้นนับถือศาสนาพุทธ และบริษัทแอปเปิลที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งก็มียอดจำหน่ายขายดีไปทั่วโลก
เพราะในบทความตอนที่ 1 ที่ธรรมกายเผยแพร่ออกมานั้น ช่วงตอนหนึ่งได้จงใจและเจตนาที่จะอวดอ้างคุณวิเศษของวัดธรรมกาย “..ในระหว่างที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภุมมะเทวาแห่งนั้นก็ได้มีกระแสธารแห่งบุญจากที่แห่งหนึ่ง ไปเชื่อมจรดที่ศูนย์กลางกายของท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งทันทีที่กระแสบุญดังกล่าวได้ไปจรดเชื่อมที่ศูนย์กลางกายของเขา ก็เป็นผลทำให้ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาในทันที แล้วภาพของแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขาและก็นึกถึงเขาก็ได้ไปปรากฏฉายขึ้นภายในใจของเขา..” ซึ่งชัดเจนในตัวเองว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
และตรงกับที่ พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) ให้ความเห็นว่า “การวิปัสสนา การเข้าญาณ ที่ถูกต้องนั้นประโยชน์ก็เพื่อให้เราได้เห็นกิเลส ได้เรียนรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นหนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่เห็นว่าใครไปเกิดเป็นอะไรสิ่งนี้ไม่ใช้แนวทางของการวิปัสสนาและไม่มีใครรับรองได้ หนักเข้าจะกลายเป็นการอวดอ้างตน ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อความไม่ถูกต้องทางพระธรรมวินัย และไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ซึ่งไปดูได้ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่หนทางดับทุกข์ไม่สอนและไม่สรรเสริญให้ทำเรื่องเช่นนี้ นอกเสียจากพระที่จะทำยังไงให้ได้ชื่อเสียง เพราะฉะนั้น การทำแบบนี้เป็นการโปรโมตสำนักตนเองว่าเก่ง มีผู้วิเศษ ซึ่งมีการทำแบบนี้มานาน คนที่เขารู้ทันเขาก็นั่งขำแต่หากรู้ไม่ทัน เชื่อง่าย งมงายไม่คิดถึงหลักเหตุและผลก็จะหลงเชื่อ สุดท้ายก็ทำให้ศาสนาปั่นป่วน เกิดการโต้เถียงกัน ต่อไปคนอยากรู้ว่าญาติตายไปไหนก็จะไปวัดธรรมกาย ยิ่งสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น อีกทั้งเรื่องการสร้างปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกจริตของคนไทย เป็นแนวนี้ที่จูงใจคนที่ต้องการ โลภลาภ - ลาภโลภ”
เมื่อเป็นเช่นนิ้ สิ่งที่สังคมอยากเห็นก็คือ องค์กรสูงสุดที่มีหน้าที่ดูแลคณะสงฆ์ของประเทศไทยอย่าง “มหาเถรสมาคม(มส.)” จะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งสุดท้าย มส.ก็ยังทำเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเช่นที่ผ่านมา และถ้าจะว่าไปแล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะหากไล่เรียงชื่อกรรมการ มส.แต่ละรูปแล้ว ก็จะเห็นความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลัทธิจานบินลัทธินี้ได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น ไม่ว่าธมฺมชโยนะจ๊ะจะทำอะไรออกมาสักกี่ครั้งกี่ครา ก็คงไม่มีผลกระทบกระเทือนใดๆ เพราะเพลานี้ ลัทธินะจ๊ะทรงอิทธิพลสูงสุดทั้งในคณะสงฆ์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย....
หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend
ล้อมกรอบ///
จดหมายจากโทนี่ ซวง
กราบนมัสการท่านเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
ผมโทนี่ ซวง (Tony Tseung) เป็นวิศวกรอาวุโส ของบริษัทแอปเปิล จากนครคิวเปอร์ทีโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผู้คนทั่วโลกได้อาลัยกับการจากไปของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง และอดีตประธานกรรมการบริหาร (CEO) ของบริษัทแอปเปิล ซึ่งมีชื่อเสียงด้วยผลงานนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์แมคอินทอช, iPhone, iPod, iPad
เมื่อถึงคราวเปิดตัวสินค้าใหม่ทีไร ผู้คนจำนวนมากต้องปักหลักเข้าคิวรอยาวเหยียดอยู่หน้าร้านค้าของแอปเปิลในแต่ละประเทศแบบข้ามวันข้ามคืนแอปเปิลประสบความสำเร็จในระดับโลกได้ถึงขนาดนี้ เพราะบุคคลคนหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนงานอย่างมุ่งมั่น นั่นคือ สตีฟ จ็อบส์ เองครับ
สตีฟ จ็อบส์ เกิดในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวของพ่อแม่บุญธรรม จนอายุ 17 ปี เขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยได้เพียงแค่เพียงหนึ่งภาคการศึกษาเท่านั้น เพราะเขาคิดว่าไม่มีวิชาใดในมหาวิทยาลัยที่น่าสนใจสำหรับเขา ด้วยความเป็นคนคิดนอกกรอบ เขาจึงร่วมกับเพื่อนก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อายุได้เพียง 21 ปี
ตลอดชีวิตการทำงานของเขา เขาได้พิสูจน์ฝีมือให้คนในวงการได้ประจักษ์ มิใช่เป็นเพียงผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่โลกเพียงอย่างเดียว แต่เขาเป็นนักศิลปะ นักคิด นักพูดที่โดดเด่น
แต่แล้วปี 2547 ขณะที่เขากำลังสนุกกับงานที่แอปเปิลอยู่นั้น เขาพึ่งรู้ตัวว่า ตนเป็นมะเร็งตับอ่อน แต่เขาเป็นนักสู้ สู้กับโรคร้ายด้วยการทำงาน โดยไม่ปล่อยบริษัทให้เดินลำพัง จนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2554 เขาก็จากโลกนี้ไปพร้อมทิ้งตำแหน่งผู้ร่ำรวยมากที่สุดในอันดับที่ 110 ของโลก พร้อมด้วยทรัพย์สินมูลค่า 8,300 ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ เอาไว้เบื้องหลัง
ท่านเจ้าอาวาสที่เคารพครับ สาเหตุที่ผมเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ทั้งหมดนี้ เพราะเขาเป็นชาวพุทธครับ ในสมัยที่สตีฟ จ็อบส์ยังเป็นหนุ่ม เขาเคยเดินทางไปอินเดีย และทำให้เขาตัดสินใจหันมานับถือพระพุทธศาสนาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา สตีฟ จ็อบส์ เคยคิดที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วย แต่เพราะติดโครงการสร้างคอมพิวเตอร์ เขาจึงพลาดโอกาสบวชเป็นพระไปครับ
ปรโลกนิวส์ ตอนที่1 สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน
ก่อนที่คุณสตีฟ จ็อบส์จะเสียชีวิตนั้น ภายในใจของเขาก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลในเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องครอบครัว ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นตัวเขาก็ยังอยากที่จะอยู่กับครอบครัวและยังไม่พร้อมที่จะจากครอบครัวของเขาไป หรือ เรื่องของบริษัทที่ตัวเขามีความรู้สึกที่ภาคภูมิใจมากๆ ซึ่งตัวคุณสตีฟ จ็อบส์เอง ก็มีโปรเจ็คต่างๆ ที่ตัวเขาได้แพลน หรือ คิดเอาไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งยังไม่ได้ทำ อีกทั้งตัวเขาก็ยังมีความรู้สึกที่กังวลว่า “ บริษัทที่ตัวเขาได้ทุ่มเทสร้างมาจะมีอนาคตต่อไปเป็นอย่างไร ” เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ตัวเขาคิดคำนึงนั้นก็ได้กลายเป็นภาพที่ติดเข้าไปอยู่ในใจของเขาซึ่งภาพเหล่านั้นก็มีทั้งภาพที่ทำให้ตัวเขารู้สึกสบายใจ ไม่สบายใจ และกังวลใจ หรือถ้าพูดเป็นภาษาที่พวกเรานักเรียนอนุบาลฯ คุ้นเคยหรือคุ้นหูกันก็คือภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่ทำให้ใจใสและใจหมองนั่นเอง
และที่สำคัญมากๆ มากๆ คุณสตีฟ จ็อบส์เองก็รู้สึกเป็นกังวลลึกๆ ว่า “ เมื่อตัวเขาตายไปแล้วชีวิตหลังความตายของเขาจะเป็นอย่างไร ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ไหน และที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่อาจารย์ของเขา ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นและเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ได้เคยสอนเอาไว้หรือเปล่าหรือว่าจะเป็นอย่างอื่น” เรียกได้ว่าทั้งความไม่แน่ใจ, ความวิตกกังวล, และความผูกพันในเรื่องคน งาน เงิน และโปรเจ็คต่างๆ มันได้กลายเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในใจของคุณสตีฟ จ็อบส์ ณ ช่วงเวลานั้นอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น จึงทำให้ ณ ช่วงเวลาที่คุณสตีฟ จ็อบส์กำลังจะจากโลกนี้ไป ภาพของความวิตกกังวลและภาพของความทรงจำที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความปลื้มใจ ความไม่ปลื้มใจ ก็ได้มาปรากฏฉายอยู่ภายในใจของเขา ซึ่งภาพต่างๆ เหล่านั้น ก็มีทั้งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง, ภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส และภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสสลับปะปนกันไป ซึ่งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง ก็คือ ภาพที่ตัวเขาเป็นคนขี้โมโห, หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อารมณ์รุนแรงและโหวกเหวกโวยวายกับลูกน้องที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ หรือไม่ถูกใจตัวเขาอยู่เป็นประจำ คือ บอกให้ทำอย่าง ก็ไปทำอีกอย่าง หรือบอกให้ทำอย่างเดียว ก็ไปทำหลายอย่าง หรือพูดง่ายๆ ว่า ผิดสเป็กตลอด เป็นต้น
ส่วนภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส ก็คือภาพที่ตัวเขาได้บริจาคทรัพย์และสิ่งของให้กับองค์กรการกุศล รวมถึงภาพที่ตัวเขาได้ให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมงานและนิสิตนักศึกษาตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น ส่วนภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใส ก็คือภาพที่ตัวเขาไปทำงาน หรืออยู่กับครอบครัว เป็นต้น
และด้วยความที่ใจของเขามีทั้งความเศร้าหมอง ทั้งความผ่องใส และทั้งความไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสปนเปกันไป กอปรกับตัวเขาก็ยังมีความผูกพันกับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างบนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน งาน เงิน และโปรเจ็คต่างๆ เป็นต้น เมื่อเหตุดังกล่าวได้มาส่งผลรวมกับอัธยาศัยพื้นฐานของตัวเขาซึ่งเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสุนทรียภาพทางศิลปะสูงมาก คือเป็นคนที่ชอบอยู่กับสิ่งของที่สวยงาม และชอบความเพอร์เฟ็ค จึงส่งผลทำให้หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ตัวเขาก็ได้ไปบังเกิดใหม่เป็น “ เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ” ที่มีที่อยู่ที่อาศัยซ้อนอยู่บนโลกมนุษย์ใกล้ๆ กับที่ทำงานเดิมของตัวเขาในทันที
เมื่อมาถึงจุดนี้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ก็คงอยากที่จะรู้ว่า “ ภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ” นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร สำหรับภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์นั้นก็คือภุมมเทวาที่มีอัธยาศัย 2 อย่างมาผสมผสานกัน ได้แก่ อัธยาศัยของวิทยาธรที่รักในการเรียนรู้ศาสตร์และความรู้ต่างๆ กับอัธยาศัยของยักษ์ที่มักโกรธ ขี้โมโห และหงุดหงิดง่าย ดังนั้น เมื่ออัธยาศัยทั้งสองอย่างดังกล่าว หรืออัธยาศัยที่รักในการเรียนรู้กับอัธยาศัยที่มักโกรธ ได้มาผสมผสานกันแล้ว จึงทำให้ภุมมเทวาสายนี้มีลักษณะเป็นวิทยาธรกึ่งยักษ์นั่นเอง
โดยเฉพาะเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ จะมีลักษณะกายเหมือนกับเทพบุตรภุมมเทวาระดับกลาง เพียงแต่ผิวของเขาจะเป็นสีดำอมแดงมีเลือดฝาดและหยาบกว่าผิวของเทพบุตรภุมมเทวาระดับกลาง ซึ่งโดยปกติทั่วไปภุมมเทวาระดับกลางจะมีผิวขาว ผ่องใสและละเอียดกว่าผิวของมนุษย์ ซึ่งถ้าจะอุปมาให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ ผิวของภุมมเทวาระดับกลางก็จะมีความละเอียดและนุ่มนวลละม้ายคล้ายกับสำลีที่นุ่มๆ ส่วนผิวของเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ซึ่งเป็นภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ จะมีความละเอียดคล้ายกับฟองน้ำ
ส่วนวิมานหรือที่อยู่ที่อาศัย ของท่านเทพบุตรใหม่จะมีลักษณะเป็นวิมานที่เรียบๆ ง่ายๆ ขนาดปานกลาง ที่สูงประมาณตึก 6 ชั้น ซึ่งตัววิมานจะประกอบด้วยโลหะสีเงินสีขาวและแก้วผลึกขนาดใหญ่ที่มีขอบเขตกว้างขวาง และอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเดิมในสมัยที่ตัวเขายังเป็นมนุษย์ ซึ่งโดยรอบวิมานของท่านเทพบุตรใหม่จะมีวิมาน ของเหล่าภุมมเทวาที่มีความชอบคล้ายๆ กันอยู่หลายวิมาน นอกจากนี้ ท่านเทพบุตรใหม่ยังมีบริวารอันเป็นทิพย์ที่คอยรับใช้ดูแลอยู่ประมาณ 20 ตน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เกิดจากผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้เคยทำบุญแบบสงเคราะห์โลกเอาไว้ในสมัยที่ตัวเขายังเป็นมนุษย์ เช่น บริจาคทั้งเงิน สิ่งของ ความรู้ให้แก่ผู้อื่นและสังคม เป็นต้น
ภายหลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์เสียชีวิตไปแล้ว ตัวเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับหลับแล้วตื่นขึ้นบนเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางวิมาน ของตัวเขาและทันทีที่ตัวเขาได้ลืมตาขึ้นมาตัวเขาก็รู้สึกตื่นตา ตื่นใจและประหลาดใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบเป็นอย่างมาก นอกจากตัวเขาจะมีความรู้สึกเช่นนั้นแล้วตัวเขายังรู้สึกอีกว่า “ โอ้ช่างอัศจรรย์เหลือเกิน อาการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ตัวเขาเป็นอยู่มันได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว อีกทั้งตัวเขายังแลดูหนุ่มขึ้นและหล่อขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งในตอนนั้นตัวเขาจะแลดูเหมือนกับชายหนุ่มที่มีอายุประมาณ 35-40 ปี ”
และเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ซึ่งก็ไม่นานนักก็ได้มีหัวหน้าของเหล่าบริวารมากล่าวต้อนรับตัวเขา แล้วก็ได้แนะนำสังคมใหม่ หรือสังคมภุมมเทวาแห่งนี้ให้ตัวเขาได้รู้จักจากนั้นหัวหน้าของเหล่าบริวารก็ได้พาท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ไปชมทิพยสมบัติที่อยู่ในตัววิมาน ซึ่งตัวท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ก็รู้สึกตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจในทิพยสมบัติต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น เตียงที่ใช้นอน ก็เป็นเตียงที่เรียบหรูดูดีมีสไตล์ไฮคลาส แถมยังลอยได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นในเวลาที่ตัวเขาอยากจะฟังเพลงที่เขาชอบ เพลงดังกล่าวก็จะค่อยๆ ดังขึ้นมาเองแบบเป็นอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ใดๆ เหมือนอย่างในโลกมนุษย์นี้เลย หรือในยามที่ตัวเขาต้องการจะรับประทานอาหาร ก็จะมีเหล่าบริวารนำอาหารที่เขาชอบมาให้ตัวเขาได้รับประทาน โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากบอกใครเลย เป็นต้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่วิมานแห่งนี้ ช่างเพอร์เฟ็คและไฮเทค อีกทั้ง ยังตอบสนองความต้องการของเขาในสมัยที่ตัวเขายังมีชีวิตอยู่อย่างสุดๆ
หลังจากนั้น หัวหน้าของเหล่าบริวารก็ได้พาตัวเขาไปชมทิพยสมบัติต่างๆ ที่อยู่ภายนอกตัววิมาน ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม สวน และสระ เป็นต้น และเมื่อตัวเขาได้เห็นทิพยสมบัติเหล่านั้นแล้ว ตัวเขาก็รู้สึกตื่นตา ตื่นใจและอัศจรรย์ใจกับทิพยสมบัติเหล่านั้นอย่างสุดๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไฮเทค สวยงามและเรียบง่าย ซึ่งโดนใจตัวเขามากๆ
และเมื่อวันเวลาผ่านไปจนกระทั่งมาถึงวันที่พระจันทร์เต็มดวง หรือวันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำในเมืองมนุษย์ ก็ได้มีเพื่อนบ้านภุมมเทวาที่มีวิมานอยู่ติดกันมาหาท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ถึงที่วิมานของเขา เพื่อเชิญให้เขาไปประชุมร่วมกับเพื่อนๆ ภุมมเทวาและพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งภุมมเทวาที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้.จะมีการประชุมร่วมกันในทุกๆ วันที่พระจันทร์เต็มดวง หรือในทุกๆ วันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำในเมืองมนุษย์นั่นเอง เมื่อท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ได้ทราบเช่นนั้นแล้ว ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกสนใจและอยากที่จะรู้ว่า จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในที่ประชุมแห่งนั้นบ้าง
และเมื่อท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้ไปถึงที่ประชุมแห่งนั้นแล้ว เพื่อนบ้านภุมมเทวาที่มีวิมานอยู่ติดกับวิมานของเขาก็ได้แนะนำตัวเขาให้หัวหน้าหมู่บ้านและเพื่อนๆ ภุมมเทวาทุกท่านได้รู้จักจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านภุมมเทวาแห่งนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องกฎระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ ให้กับท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้รับทราบว่า “สิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนไม่ควรทำ” ซึ่งหลังจากที่การประชุมได้เสร็จสิ้นลงแล้วท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ก็ได้รีบกลับมายังวิมานของตัวเขาเอง เพราะตัวเขายังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ หรือทิพยสมบัติ ที่อยู่ภายในวิมานของเขา
ภายหลังจากที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ได้เป็นที่รู้จักของเพื่อนๆ ภุมมเทวาที่อยู่ในหมู่บ้านภุมมเทวาแห่งนั้นแล้ว ก็ได้มีเพื่อนบ้านภุมมเทวาหลายๆ ท่านแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ที่วิมานของเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเพื่อนบ้านภุมมเทวาเหล่านั้นก็มักจะกล่าวชื่นชมเกี่ยวกับเรื่องผลงานของท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ในเมืองมนุษย์ที่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้
ซึ่งเรื่องราวการพูดถึงผลงานของกันและกันนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับภุมมเทวาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านภุมมเทวาแห่งนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะภุมมเทวาแต่ละท่านที่อยู่ในหมู่บ้านภุมมเทวาแห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีผลงานเด่นๆ ดังๆ ที่ตัวเองได้เคยสร้างสรรค์เอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้น ภุมมเทวาแต่ละท่านจึงมักจะชอบเอาผลงานของตัวเองมาคุยให้กับเพื่อนๆ ภุมมเทวาท่านอื่นๆ ได้ฟังกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นพวกเขาก็จะชอบติดตามผลงานของพวกเขาอยู่เรื่อยๆ แล้วพวกเขาก็จะพยายามไปดลจิตดลใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มุ่งมั่นพัฒนางานและทำในสิ่งที่พวกเขาได้ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งถ้าหากคนเหล่านั้นสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้ได้จนกระทั่งประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจแล้วก็จะนำความสำเร็จของเรื่องนี้ไปคุยให้เพื่อนๆ ภุมมเทวาได้รับฟังกันอย่างถ้วนหน้า
ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานี้ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ตัวเขาชอบและตอบสนองความใช่ของตัวเขาทั้งหมด เรียกได้ว่ามองไปทางไหน ตัวเขาก็รู้สึกถูกใจชอบใจ และสุขใจไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ตัวเขาไม่มีโอกาสได้โชว์เขี้ยวของเขาเลย หรือพูดง่ายๆ ว่าเขี้ยวของเขายังไม่ได้ทำงานหรือยังไม่ได้งอกออกมาให้ใครได้เห็นเลยนั่นเอง
ซึ่งในระหว่างที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภุมมเทวาแห่งนั้นก็ได้มีกระแสธารแห่งบุญจากที่แห่งหนึ่ง ไปเชื่อมจรดที่ศูนย์กลางกายของท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งทันทีที่กระแสบุญดังกล่าวได้ไปจรดเชื่อมที่ศูนย์กลางกายของเขา ก็เป็นผลทำให้ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาในทันที แล้วภาพของแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขาและก็นึกถึงเขาก็ได้ไปปรากฏฉายขึ้นภายในใจของเขา
และเมื่อท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์ได้เห็นภาพของการทำบุญดังกล่าวแล้ว ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้อนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นอีกทั้งตัวเขาก็ไม่รู้ว่าจะอนุโมทนาอย่างไรด้วย แต่สิ่งที่ตัวเขารับรู้ได้ในตอนนั้นก็คือตัวเขารู้สึกดีใจ ชอบใจ และเป็นสุขใจ เมื่อตัวเขารู้สึกเช่นนั้นตัวเขาจึงได้นึกขอบคุณคนเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอิบเบิกบานใจนั่นเอง
ปรโลกนิวส์ ตอนที่ 2
ทำไมสตีฟ จ็อบส์จึงเป็นคนฉลาด
สำหรับสาเหตุที่ทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์มีความเฉลียวฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร จนทำให้ตัวเขาสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีผลต่อคนทั้งโลกได้นั้น ทั้งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในภพชาติปัจจุบันเป็นชาติแรกแต่เกิดจากการที่คุณสตีฟ จ็อบส์ ได้สั่งสมปัญญาบารมีและทานบารมีมาข้ามภพข้ามชาติ และหลายภพหลายชาติแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ในภพชาติที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเขามีความเฉลียวฉลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร ซึ่งในภพชาตินั้นตัวเขาได้เกิดอยู่ในครอบครัวเกษตรกรรม และอยู่ในยุคสมัยที่บ้านเมืองของตัวเขาเกิดทุพภิกขภัย หรือเกิดภาวะภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพง และมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนอดอยากและล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
ซึ่งตัวสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ก็ได้รับความอดอยากและหิวโหยอย่างสุดๆ อีกทั้งในตอนนั้น ตัวเขาก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ของตัวเขาด้วย ซึ่งท่านทั้งสองมีอายุมากและไม่สามารถที่จะทำงานได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์เกิดความรู้สึกกดดัน จนทำให้ในที่สุดตัวเขาก็ได้ตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการหนีออกจากบ้าน ส่งผลทำให้พ่อแม่ของเขาได้รับความยากลำบากและก็ได้เสียชีวิตลงในที่สุด
ด้วยวิบากกรรมที่ตัวเขาได้ทิ้งคุณพ่อคุณแม่ไปนี้เอง ก็ได้ตามมาส่งผลทันตาเห็นในภพชาติเดียวกันนั้นเลย ซึ่งก็ส่งผลทำให้ไม่ว่าตัวเขาจะทำมาค้าขายอะไร ตัวเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง
แต่ในตอนนั้น ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) กลับสันนิษฐานเอาเองว่าสาเหตุที่ตนเองไม่ประสบความสำเร็จในการทำมาค้าขายนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะตัวเขาเป็นคนที่คิดช้าและคิดอะไรไม่ทันคนอื่น อีกทั้ง ตัวเขาก็ขาดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอีกด้วย
ในเวลาต่อมาคุณสตีฟ จ็อบส์ก็ได้มีโอกาสมาเจอกับพระภิกษุผู้มีฌานสมาบัติรูปหนึ่ง และเมื่อตัวเขาได้สนทนาและฟังธรรมจากพระภิกษุรูปนั้นแล้ว ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในธรรมะที่พระภิกษุรูปนั้นได้แสดงเป็นอย่างมาก อีกทั้ง ตัวเขายังเกิดความรู้สึกผิดบาปกับสิ่งที่ตัวเขาได้เคยทำไว้กับพ่อแม่ของตัวเขาอีกด้วย
และด้วยความรู้สึกผิดบาปดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้ตัวเขาได้ตั้งใจอุปัฏฐาก และทำบุญกับพระภิกษุรูปนั้นอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ซึ่งในทุกๆ ครั้งที่ตัวเขาได้ทำบุญแล้ว คุณสตีฟ จ็อบส์มักจะอธิษฐานตอกย้ำซ้ำๆ อยู่เป็น ประจำว่า “ ขอให้ตัวเขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้ตัวเขาประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด ”
ส่วนในภพชาติถัดๆ มาคุณสตีฟ จ็อบส์ก็ได้เกิดมาเป็นเกษตรกร และตัวเขาก็มีความคิดอยากที่จะให้พื้นที่เพาะปลูกของตนเองมีผลิตผลที่ดีและอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน เมื่อตัวเขาคิดเช่นนั้นตัวเขาจึงได้พยายามคิดหาวิธีการที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ในการวางผังปรับปรุงระบบชลประทานเสียใหม่ โดยตัวเขาได้ประชุมกับกลุ่มพวกชาวบ้านเพื่อนำเสนอความคิดในการเปลี่ยนผังทางเดินน้ำที่ จะไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกของตัวเองและคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เพื่อที่จะให้น้ำ ไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกได้ดีกว่าเก่า
ส่วนในอีกภพชาติหนึ่งคุณสตีฟ จ็อบส์ได้เกิดอยู่ในหมู่บ้านที่มักจะเกิดภัยพิบัติอยู่เป็นประจำ ...จึงได้พยายามคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่มีลักษณะคล้ายกับกังหันสัญญาณเตือนภัยที่มีความสูง ทำให้สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที
จนกระทั่งมาถึงภพชาติที่สำคัญซึ่งเป็นภพชาติที่พลิกชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ โดยตัวเขาได้เกิดเป็น “กุลบุตรสุดหล่อผู้มีหัวใจงดงาม” อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ....และที่สำคัญโลกในยุคนั้นก็ยังอยู่ในยุคที่มีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นอีกด้วย
เมื่อคุณสตีฟ จ็อบส์เติบใหญ่ขึ้นตัวเขาก็ได้ประกอบอาชีพค้าขายภาชนะและเครื่องครัวต่างๆ เช่น พวกถ้วย ชาม หม้อ ไห กระทะ และมีดทำครัวประเภทต่างๆ เป็นต้น ...ซึ่งในระหว่างที่คุณสตีฟ จ็อบส์ กำลังเดินทางขนสินค้าไปขายในตัวเมืองนั้นตัวเขาก็เกิดความคิดปรารถนาอยากที่จะทำบุญใหญ่กับคณะพระภิกษุสงฆ์... แม้ว่าในตอนนั้น ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์เองก็ไม่ค่อยมีเงินมากนัก ด้วยเหตุนี้เองตัวเขาจึงได้พยายามครุ่นคิด เพื่อที่จะหาวิธีการที่จะทำบุญใหญ่ในครั้งนี้ให้ได้
เมื่อตัวเขาคิดได้เช่นนี้ ตัวเขาจึงเกิดไอเดียใสๆ ขึ้นมาว่า“ ถ้าใครนำภาชนะที่ตัวเขานำมาขายนี้ไปใส่ภัตตาหารแล้วก็นำไปถวายแด่พระภิกษุที่วัดแห่งนั้นร่วมกับตัวเขาแล้ว หลังจากที่พระภิกษุสงฆ์ได้ขบฉันภัตตาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็จะมอบภาชนะดังกล่าวให้กับคนๆ นั้นไปแบบฟรีๆ เลย ”
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ได้ทำบุญถวายภัตตาหารที่หลากหลายแด่คณะสงฆ์ทุกวัน โดยไม่ซ้ำกันอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเมื่อกาลเวลาได้ผ่าน 1 ปี ตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ก็ได้ขนสินค้าวนกลับมาขายที่เมืองแห่งนั้นอีกครั้ง และมีโอกาสพบพระมหาเถระเจ้าอาวาสของวัดแห่งนั้น และขอเรียนการฝึกสมาธิ ซึ่งพระมหาเถระก็ได้เมตตาสอนวิธีการนั่งสมาธิให้ ซึ่งในระหว่างที่ตัวเขาได้สั่งสมมหาทานและปฏิบัติธรรมตลอด 3 เดือนนั้น ตัวเขาก็จะชอบอธิษฐานจิตว่า “ ขอให้ตัวเขาร่ำรวย ขอให้ตัวเขาสามารถผลิตสินค้าดีๆ ออกมาขายได้เยอะๆ และขอให้สินค้าที่ตัวเขาออกแบบและผลิตออกมานี้ เป็นที่นิยมของมหาชนทั้งหลายทั่วทุกมุมโลก ”
ในเวลาต่อมาคุณสตีฟจ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) ก็ได้เดินทางไปค้าขายสินค้าตามเมืองต่างๆ เหมือนเช่นเคย แต่การเดินทางไปค้าขายสินค้าของเขาในครั้งนี้ ตัวเขาก็ได้หมั่นทำสมาธิควบคู่ไปกับการค้าขาย ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ใจของเขาผ่องใส สว่างไสว และมีพลัง อีกทั้ง ยงทำให้ตัวเขามีความคิดดีๆ พรั่งพรูออกมาอย่างมากมายอีกด้วย ซึ่งก็ส่งผลทำให้ในเวลาต่อมา ตัวเขาก็สามารถจับจุดการค้าของการตลาดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ตัวเขาสามารถพัฒนาคุณภาพสินค้าของเขาไปถึงจุดที่โดนใจผู้คนในเมืองต่างๆ จนทำให้สินค้าของเขาได้กลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างสุดๆ
และเมื่อตัวคุณสตีฟ จ็อบส์ (ในภพชาตินั้น) หมดอายุขัยแล้ว ด้วยผลแห่งบุญทุกๆ บุญที่ตัวเขาได้สั่งสมเอาไว้ในภพชาตินั้น ไม่ว่าจะเป็นผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้อุปัฏฐากดูแลและทำบุญกับพระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาสมาบัติมาอย่างตลอดต่อเนื่องทุกๆ ปี ผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้ชักชวนชาวเมืองทั้งหลายให้มาทำบุญกับตัวเขา และผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้นั่งสมาธิจนเห็นแสงสว่างนอกตัว เป็นต้น นี้เอง จึงทำให้ตัวเขาก็ได้ไปบังเกิดเป็น “เทพบุตรสุดหล่อ” อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และเมื่อถึงคราวที่ตัวเขาจุติ (หรือตาย) จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ตัวเขาก็ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธที่ประกอบอาชีพเป็นปฏิมากรช่างแกะสลักที่มีชื่อเสียงมากๆ ในยุคนั้น ซึ่งในภพชาตินั้น ตัวเขาก็ได้มีโอกาสสั่งสมบุญใหญ่เพิ่มเติม คือ ตัวเขาได้ไปสร้างวัดร่วมกับสาธุชนผู้มีบุญที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างวัด ซึ่งในระหว่างที่ตัวเขาสร้างวัดแห่งนี้.ตัวเขาก็จะชอบอธิษฐานจิตอยู่เป็นประจำว่า “ ขอให้ตัวเขาร่ำรวย มีความเชี่ยวชาญชำนาญในงานฝีมือ และขอให้ ผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ” และเมื่อตัวเขาได้ละจากภพชาตินั้นไปตัวเขาก็ได้กลับไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อถึงคราวที่ตัวเขาจะต้องลงมาบังเกิดบนโลกมนุษย์ ตัวเขาก็ได้ลงมาเกิดเป็น “ คุณสตีฟ จ็อบส์ ” ในภพชาติปัจจุบันนี้