"ธมฺมชโย" อ้างหยั่งรู้ภึงภพของ "สตีฟ จ็อบส์" เป็นเรื่อง พระเทพวิสุทธิกวี” ชี้ “พระพุทธเจ้า” เท่านั้นที่รู้เห็นเรื่องภพชาติ “พระพยอม” ชี้หมิ่นเหม่อวดตนไม่ถูกต้อง “พระไพศาล” ติงเข้าข่าย อวดอุตริ
พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณี พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อ้างใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิ “สตีฟ จ็อบส์” หลังตาย พบไปเกิดเป็น “ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ว่า ผู้ที่จะรู้เรื่องภพชาติได้นั้น จะเป็นผู้ที่มีอภิญญาจิต ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระอรหันต์บางองค์ยังไม่มีญาณรู้ได้ อีกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ถือศีล ภาวนาจิต คือ รักษาศีล 5 และกลัวบาป ก็สามารถเกิดในชาติภพที่ดี
“การทำบุญ บริจาคทาน แล้วได้บุญ ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เป็นการทำบุญในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งการบริจาคจะต้องไม่ทำให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราไม่ได้ทำบุญสักบาท แต่รักษาศีล ภาวนา ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ก็ได้บุญแล้ว” พระเทพวิสุทธิกวี กล่าว
ด้าน พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลป์ยาโณ) กล่าวว่า ในทางพระพุทธศาสนามีว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในภพ ภูมิใด หรือเทวดาในชั้นจาตุรมหาราชิกา นั้นก็มี เพียงแต่ต้องดูด้วยว่าคนๆนั้นเข้าถึงธรรมในระดับใด ซึ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นคงไม่เป็นอย่างที่วัดธรรมกาย ระบุว่าไปอยู่ในภพภูมินั้น เกิดเป็น “ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” เพราะสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ เพิ่งตายไม่ใช่หรือ อีกทั้งใครจะเป็นผู้รับรองว่าเห็นเช่นเดียวกับที่ทางวัดธรรมกายบอกว่าเห็นจริง
“การวิปัสสนา การเข้าญาณ ที่ถูกต้องนั้นประโยชน์ก็เพื่อให้เราได้เห็นกิเลส ได้เรียนรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นหนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่เห็นว่าใครไปเกิดเป็นอะไรสิ่งนี้ไม่ใช้แนวทางของการวิปัสสนาและไม่มีใครรับรองได้ หนักเข้าจะกลายเป็นการอวดอ้างตน ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อความไม่ถูกต้องทางพระธรรมวินัย และไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ซึ่งไปดูได้ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่หนทางดับทุกข์ไม่สอนและไม่สรรเสริญให้ทำเรื่องเช่นนี้ นอกเสียจากพระที่จะทำยังไงให้ได้ชื่อเสียง เพราะฉะนั้น การทำแบบนี้เป็นการโปรโมตสำนักตนเองว่าเก่ง มีผู้วิเศษ ซึ่งมีการทำแบบนี้มานาน คนที่เขารู้ทันเขาก็นั่งขำแต่หากรู้ไม่ทัน เชื่อง่าย งมงายไม่คิดถึงหลักเหตุและผลก็จะหลงเชื่อ สุดท้ายก็ทำให้ศาสนาปั่นป่วน”พระพยอม กล่าว
พระพยอม กล่าวต่อว่า ไม่ว่าใครจะนำเสนออะไรก็ตามขอให้ใช้สติปัญญาในการคิดหาเหตุผลและไตร่ตรองด้วย ส่วนที่การกระทำลักษณะนี้หมิ่นเหม่ต่อการอวดอ้างก็ต้องดูต่อไปว่าสำนักพระพุทธศาสนาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อาจจะไปเตือนกันภายในเงียบๆ อย่างไรก็ตาม อาตมาเห็นว่าหากมองเห็นได้จริงก็น่าจะเอาไปมองในเหตุการณ์ใกล้ๆ เช่น เหตุการณ์ภาคใต้จะถูกวางระเบิดเมื่อไร เพื่อที่จะได้ระวังตัวทหารเราจะได้ไม่ตาย แบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาติมากกว่า
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ พระชื่อดัง กล่าวถึงบทความของวัดธรรมกาย เรื่องสตีฟ จ็อบส์ ทั้ง 3 ตอน ว่า คำถามใหญ่ที่เขียนมาทั้งหมดรู้ได้อย่างไร ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาจริงหรือเปล่า ซึ่งการกล่าวอ้างว่าเห็นมาจริง ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าเข้าข่าย อุตริมนุสธรรม คือ การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานได้สมาธิชั้นนั้นชั้นนี้ สามารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม
ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกผู้ที่ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันว่า อวดอุตริ หรือ อุตริเป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้ ถือว่าผิด แต่หากบอกว่านึกขึ้นมาเอง ก็ถือว่าเข้าข่าย อาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติหนัก ทำให้ขาดจากความเป็นพระเลยทีเดียว
“พระพุทธเจ้าตรัสกับสิ่งนี้ว่าอจินไตย ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่อง “อจินไตย” เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้” พระไพศาลกล่าว
พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณี พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อ้างใช้ญาณตรวจสอบภพภูมิ “สตีฟ จ็อบส์” หลังตาย พบไปเกิดเป็น “ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ว่า ผู้ที่จะรู้เรื่องภพชาติได้นั้น จะเป็นผู้ที่มีอภิญญาจิต ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระอรหันต์บางองค์ยังไม่มีญาณรู้ได้ อีกอย่างตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ถือศีล ภาวนาจิต คือ รักษาศีล 5 และกลัวบาป ก็สามารถเกิดในชาติภพที่ดี
“การทำบุญ บริจาคทาน แล้วได้บุญ ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เป็นการทำบุญในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งการบริจาคจะต้องไม่ทำให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราไม่ได้ทำบุญสักบาท แต่รักษาศีล ภาวนา ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ก็ได้บุญแล้ว” พระเทพวิสุทธิกวี กล่าว
ด้าน พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลป์ยาโณ) กล่าวว่า ในทางพระพุทธศาสนามีว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในภพ ภูมิใด หรือเทวดาในชั้นจาตุรมหาราชิกา นั้นก็มี เพียงแต่ต้องดูด้วยว่าคนๆนั้นเข้าถึงธรรมในระดับใด ซึ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นคงไม่เป็นอย่างที่วัดธรรมกาย ระบุว่าไปอยู่ในภพภูมินั้น เกิดเป็น “ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” เพราะสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ เพิ่งตายไม่ใช่หรือ อีกทั้งใครจะเป็นผู้รับรองว่าเห็นเช่นเดียวกับที่ทางวัดธรรมกายบอกว่าเห็นจริง
“การวิปัสสนา การเข้าญาณ ที่ถูกต้องนั้นประโยชน์ก็เพื่อให้เราได้เห็นกิเลส ได้เรียนรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นหนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่เห็นว่าใครไปเกิดเป็นอะไรสิ่งนี้ไม่ใช้แนวทางของการวิปัสสนาและไม่มีใครรับรองได้ หนักเข้าจะกลายเป็นการอวดอ้างตน ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อความไม่ถูกต้องทางพระธรรมวินัย และไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ซึ่งไปดูได้ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่หนทางดับทุกข์ไม่สอนและไม่สรรเสริญให้ทำเรื่องเช่นนี้ นอกเสียจากพระที่จะทำยังไงให้ได้ชื่อเสียง เพราะฉะนั้น การทำแบบนี้เป็นการโปรโมตสำนักตนเองว่าเก่ง มีผู้วิเศษ ซึ่งมีการทำแบบนี้มานาน คนที่เขารู้ทันเขาก็นั่งขำแต่หากรู้ไม่ทัน เชื่อง่าย งมงายไม่คิดถึงหลักเหตุและผลก็จะหลงเชื่อ สุดท้ายก็ทำให้ศาสนาปั่นป่วน”พระพยอม กล่าว
พระพยอม กล่าวต่อว่า ไม่ว่าใครจะนำเสนออะไรก็ตามขอให้ใช้สติปัญญาในการคิดหาเหตุผลและไตร่ตรองด้วย ส่วนที่การกระทำลักษณะนี้หมิ่นเหม่ต่อการอวดอ้างก็ต้องดูต่อไปว่าสำนักพระพุทธศาสนาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อาจจะไปเตือนกันภายในเงียบๆ อย่างไรก็ตาม อาตมาเห็นว่าหากมองเห็นได้จริงก็น่าจะเอาไปมองในเหตุการณ์ใกล้ๆ เช่น เหตุการณ์ภาคใต้จะถูกวางระเบิดเมื่อไร เพื่อที่จะได้ระวังตัวทหารเราจะได้ไม่ตาย แบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาติมากกว่า
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ พระชื่อดัง กล่าวถึงบทความของวัดธรรมกาย เรื่องสตีฟ จ็อบส์ ทั้ง 3 ตอน ว่า คำถามใหญ่ที่เขียนมาทั้งหมดรู้ได้อย่างไร ไปเจอสตีฟ จ็อบส์มาจริงหรือเปล่า ซึ่งการกล่าวอ้างว่าเห็นมาจริง ในทางพุทธศาสนาเรียกว่าเข้าข่าย อุตริมนุสธรรม คือ การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานได้สมาธิชั้นนั้นชั้นนี้ สามารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม
ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกผู้ที่ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันว่า อวดอุตริ หรือ อุตริเป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้ ถือว่าผิด แต่หากบอกว่านึกขึ้นมาเอง ก็ถือว่าเข้าข่าย อาบัติปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติหนัก ทำให้ขาดจากความเป็นพระเลยทีเดียว
“พระพุทธเจ้าตรัสกับสิ่งนี้ว่าอจินไตย ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่อง “อจินไตย” เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้” พระไพศาลกล่าว