ในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 หนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย รายงานว่าผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามอบหมายให้ พ.ท.สายัณห์ ขุนขจี ฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญาต่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษากฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.)
การแจ้งความเกิดจากคำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 วันครบรอบที่กองทัพปราบปรามการชุมุนมอย่างทารุณซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน 98 ราย ในระหว่างการปราศรัย ซึ่งสามารถเข้าไปดูวิดีโอแบบเต็มได้ที่นี่ นายอัมสเตอร์ดัมประณามประวัติการสังหารหมู่พลเรือนของกองทัพไทยและวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐว่าขายอาวุธและฝึกกองทัพไทยเพื่อสังหารพลเรือนอยู่เป็นประจำ คำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมถูกแปลเป็นภาษาไทย ดังนั้นจึงมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อล่ามด้วยเช่นกัน พลเอกประยุทธ์กล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวทำลายชื่อเสียงของกองทัพไทย
ข่าวเรื่องการแจ้งความทางอาญาต่อนายอัมสเตอร์ดัมและล่ามเกิดขึ้นในปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ออกมาข่มขู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งมีหน้าที่สอบสวนการปราบปรามการชุมนุมปี 2553 อย่างเปิดเผย รวมถึงตอบโต้สื่อที่ถามเรื่องการใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชนในปี 2553 อย่างรุนแรง เป็นเรื่องชัดเจนที่นายอภิสิทธิ์และพลเอกประยุทธ์รู้สึกจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ในความพยายามที่จะปกป้องระบบการทำผิดแล้วลอยนวลซึ่งบ่งบอกถึงถึงความมีประสิทธิภาพของการทำงานของนายอัมสเตอร์ดัมและทีมงาน
นายอัมสเตอร์ดัมยังคงยืนยันตามคำปราศรัยของเขาและมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำตัวผู้นำระดับสูง (รวมถึงพลเอกประยุทธ์และอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาลงโทษในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ก่อขึ้น ในระหว่างการปรามปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนในครั้งนี้ คือ คนที่สังหารพลเรือนเพื่อปกป้องอำนาจ และนายอภิสิทธิ์ ของตนจะไม่สามารถรอดพ้นจากการรับผิดในการกระทำของพวกเขาอย่างแน่นอน
หมายเหตุ - ลิงค์วิดีโอ อัมสเตอร์ขึ้นเวทีนปช.ที่ถูกกองทัพบกหยิบยกขึ้นมาฟ้องดำเนินคดี http://www.youtube.com/watch?v=ktrrg9Kd8b4&feature=share
**"ไก่อู" รับเอกสาร ศอฉ.ในเว็บประชาไทของจริง
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่เอกสารโดยอ้างว่า เป็นเอกสารของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ที่เกี่ยวข้องกับแนวปฏิบัติการใช้อาวุธ เพื่อรักษาที่ตั้งสำคัญ จุดตรวจ ด่านตรวจของช่วงสลายชุมนุมเมื่อปี 2553 เอกสารระบุว่า หากมีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธแล้วอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมให้เจ้าหน้าที่งดใช้อาวุธ ยกเว้นถ้าในหน่วยมีพลแม่นปืนให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้และหากไม่สามารถยิงได้สามารถร้องขอพลซุ่มยิง หรือสไนเปอร์จาก ศอฉ.ได้ ว่า เป็นเอกสารฉบับจริง
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แต่ผู้ที่นำเอกสารฉบับนี้มาปล่อย เข้าใจว่ามีนัยยะเรื่องอื่น เพราะเอกสารมีอยู่ 5 แผ่น แต่เลือกนำแผ่นสุดท้ายมาปล่อย ทั้งนี้ไม่ใช่อะไรที่เป็นเรื่องใหม่ ตนในฐานะโฆษก ศอฉ.ในตอนนั้น ได้เล่าให้สังคมเข้าใจมาโดยตลอดว่าการปฏิบัติงานของ ศอฉ.ยึดหลักสากลจากเบาไปหาหนัก ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเอกสารผ่านที่ 1,2,3,4 แต่แผ่นสุดท้ายเราได้อธิบายความว่า หากเราปฏิบัติจากเบาไปหาหนักแล้ว ไม่สามารถจะระงับยับยั้งการปฏิบัติที่ผิดกฎหมายก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ได้ เราก็จำเป็นที่ต้องใช้พลแม่นปืนระวังป้องกัน
"กองทัพบกไม่เคยใช้สไนเปอร์ เราเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติว่าพลแม่นปืนระวังป้องกัน ส่วนใครจะไปเรียกอะไรก็เรื่องของเขา แต่ส่วนใหญ่พยายามจะเรียกให้มันดูน่ากลัวว่า สไนเปอร์ คือพลซุ่มยิง ไม่ได้บ่งบอกว่าซุ่มยิงอะไร อย่างไรก็ตามพลแม่นปืนระวังป้องกัน หากมีผู้ใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่เพื่อให้ถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บ พลแม่นปืนระวังป้องกันจำเป็นต้องปฏิบัติงานของเขา หากอ่านในเอกสารให้ละเอียดจะมีข้อความเหล่านี้อยู่"พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความพยายามจากกลุ่ม จากฝ่ายบุคคลเพื่อสร้างกระแสทำให้สังคมเขาใจคลาดเคลื่อนให้เห็นว่ากองทัพทำอะไรที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ กองทัพทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุม ซึ่งเขาปล่อยข้อมูลเพื่อเสริมภาพที่เขากำลังพยายามสร้างอยู่ แต่เราคงไม่กังวลเพราะไม่ใช่เรื่องใหม่ เราได้ชี้แจงมาหมดแล้ว.
การแจ้งความเกิดจากคำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 วันครบรอบที่กองทัพปราบปรามการชุมุนมอย่างทารุณซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน 98 ราย ในระหว่างการปราศรัย ซึ่งสามารถเข้าไปดูวิดีโอแบบเต็มได้ที่นี่ นายอัมสเตอร์ดัมประณามประวัติการสังหารหมู่พลเรือนของกองทัพไทยและวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐว่าขายอาวุธและฝึกกองทัพไทยเพื่อสังหารพลเรือนอยู่เป็นประจำ คำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมถูกแปลเป็นภาษาไทย ดังนั้นจึงมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อล่ามด้วยเช่นกัน พลเอกประยุทธ์กล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวทำลายชื่อเสียงของกองทัพไทย
ข่าวเรื่องการแจ้งความทางอาญาต่อนายอัมสเตอร์ดัมและล่ามเกิดขึ้นในปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ออกมาข่มขู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งมีหน้าที่สอบสวนการปราบปรามการชุมนุมปี 2553 อย่างเปิดเผย รวมถึงตอบโต้สื่อที่ถามเรื่องการใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชนในปี 2553 อย่างรุนแรง เป็นเรื่องชัดเจนที่นายอภิสิทธิ์และพลเอกประยุทธ์รู้สึกจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ในความพยายามที่จะปกป้องระบบการทำผิดแล้วลอยนวลซึ่งบ่งบอกถึงถึงความมีประสิทธิภาพของการทำงานของนายอัมสเตอร์ดัมและทีมงาน
นายอัมสเตอร์ดัมยังคงยืนยันตามคำปราศรัยของเขาและมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำตัวผู้นำระดับสูง (รวมถึงพลเอกประยุทธ์และอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาลงโทษในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ก่อขึ้น ในระหว่างการปรามปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนในครั้งนี้ คือ คนที่สังหารพลเรือนเพื่อปกป้องอำนาจ และนายอภิสิทธิ์ ของตนจะไม่สามารถรอดพ้นจากการรับผิดในการกระทำของพวกเขาอย่างแน่นอน
หมายเหตุ - ลิงค์วิดีโอ อัมสเตอร์ขึ้นเวทีนปช.ที่ถูกกองทัพบกหยิบยกขึ้นมาฟ้องดำเนินคดี http://www.youtube.com/watch?v=ktrrg9Kd8b4&feature=share
**"ไก่อู" รับเอกสาร ศอฉ.ในเว็บประชาไทของจริง
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่เอกสารโดยอ้างว่า เป็นเอกสารของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ที่เกี่ยวข้องกับแนวปฏิบัติการใช้อาวุธ เพื่อรักษาที่ตั้งสำคัญ จุดตรวจ ด่านตรวจของช่วงสลายชุมนุมเมื่อปี 2553 เอกสารระบุว่า หากมีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธแล้วอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมให้เจ้าหน้าที่งดใช้อาวุธ ยกเว้นถ้าในหน่วยมีพลแม่นปืนให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้และหากไม่สามารถยิงได้สามารถร้องขอพลซุ่มยิง หรือสไนเปอร์จาก ศอฉ.ได้ ว่า เป็นเอกสารฉบับจริง
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า แต่ผู้ที่นำเอกสารฉบับนี้มาปล่อย เข้าใจว่ามีนัยยะเรื่องอื่น เพราะเอกสารมีอยู่ 5 แผ่น แต่เลือกนำแผ่นสุดท้ายมาปล่อย ทั้งนี้ไม่ใช่อะไรที่เป็นเรื่องใหม่ ตนในฐานะโฆษก ศอฉ.ในตอนนั้น ได้เล่าให้สังคมเข้าใจมาโดยตลอดว่าการปฏิบัติงานของ ศอฉ.ยึดหลักสากลจากเบาไปหาหนัก ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเอกสารผ่านที่ 1,2,3,4 แต่แผ่นสุดท้ายเราได้อธิบายความว่า หากเราปฏิบัติจากเบาไปหาหนักแล้ว ไม่สามารถจะระงับยับยั้งการปฏิบัติที่ผิดกฎหมายก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ได้ เราก็จำเป็นที่ต้องใช้พลแม่นปืนระวังป้องกัน
"กองทัพบกไม่เคยใช้สไนเปอร์ เราเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติว่าพลแม่นปืนระวังป้องกัน ส่วนใครจะไปเรียกอะไรก็เรื่องของเขา แต่ส่วนใหญ่พยายามจะเรียกให้มันดูน่ากลัวว่า สไนเปอร์ คือพลซุ่มยิง ไม่ได้บ่งบอกว่าซุ่มยิงอะไร อย่างไรก็ตามพลแม่นปืนระวังป้องกัน หากมีผู้ใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่เพื่อให้ถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บ พลแม่นปืนระวังป้องกันจำเป็นต้องปฏิบัติงานของเขา หากอ่านในเอกสารให้ละเอียดจะมีข้อความเหล่านี้อยู่"พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความพยายามจากกลุ่ม จากฝ่ายบุคคลเพื่อสร้างกระแสทำให้สังคมเขาใจคลาดเคลื่อนให้เห็นว่ากองทัพทำอะไรที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ กองทัพทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุม ซึ่งเขาปล่อยข้อมูลเพื่อเสริมภาพที่เขากำลังพยายามสร้างอยู่ แต่เราคงไม่กังวลเพราะไม่ใช่เรื่องใหม่ เราได้ชี้แจงมาหมดแล้ว.