วานนี้ ( 15 ส.ค.) นายสัมฤทธิ์ อ่อนคำ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน และองค์คณะ มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และชาวบ้านพื้นที่ป่าพรุ ป่าเสม็ด ต.แม่รำพึง ต.กำเนิดนพคุณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวม 41 ราย ยื่นฟ้อง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) แม่รำพึง , นายก อบต.กำเนิดนพคุณ , เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน , นายอำเภอบางสะพาน , ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ , อธิบดีกรมที่ดิน , อธิบดีกรมป่าไม้ , กรมอุทนายแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง , คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องที่ 1-11 กรณี หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ โดยปล่อยให้ผู้ถูกฟ้องที่ 6-11 นำพื้นที่ป่าพรุ ป่าชายเลน หรือป่าเสม็ด ไปออกเอกสารสิทธิ จำนวน 18 แปลง รวมเนื้อที่ 310 ไร่ 74 ตารางวา
โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้อง ข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 18 แปลง เป็นกรณีการขอ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 จำนวน 8 แปลง และกรณีการขอ ออกตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองทำประโยชน์ตาม มาตรา 58 จำนวน 10 แปลง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานเอกสารในการออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ น.ส.3 น.ส. 3ก. สอดคล้องกับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงวันที่ 2 ก.ค.50 ที่คณะกรรมการซึ่งผู้ถูกฟ้องที่ 6 ตั้งขึ้น กรณีมีผู้ร้องเรียนการออกเอกสารสิทธิ ซึ่งฟังได้ว่า การออก น.ส.3 และ น.ส. 3ก. ที่ดิน 18 แปลง ระหว่างปี 2507 – 2523 หลักเกณฑ์ขณะนั้นเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 และฉบับที่ 5 ( พ.ศ.2497) ที่ออกตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 โดยอาศัยหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครอง ( ส.ค.1) และได้มีการสอบสวนพิสูจน์การทำประโยชน์ ซึ่งทุกแปลงผู้ยื่นคำขอต่างยืนยันว่าได้ครอบครองและทำประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว และมีการประกาศคำขอคำรับรองเพื่อให้มีการคัดค้าน และผู้ปกครองท้องที่ ก็ได้รับรองว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือที่สงวนหวงห้าม หรือที่ดินซึ่งราชการเห็นว่าควรสงวนไว้ เพื่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีจำนวน 14 แปลง ที่ผู้ยื่นคำขอมีหลักฐานเป็นแบบการแจ้งการครอบครอง ( ส.ค.1) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
กรณีจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเกณฑ์ที่อาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 และ น.ส. 3ก. ให้ได้ กรณีจึงถือว่ามีการออกหนังสือรับรองตามหลักเกณฑ์ ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว
ส่วนที่เมื่อมูลนิธิสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย กล่าวหาว่า มีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินป่าพรุ ม.7 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 22 แปลงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องที่ 6 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้เพิกถอน น.ส. 3ก. จำนวน 1 ฉบับ ที่มีการนำหลักฐานสำหรับที่ดินแปลงอื่นมาใช้เป็นหลักฐานแล้ว ผู้ถูกฟ้องจึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติ จึงพิพากษายกฟ้อง
โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้อง ข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 18 แปลง เป็นกรณีการขอ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 จำนวน 8 แปลง และกรณีการขอ ออกตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองทำประโยชน์ตาม มาตรา 58 จำนวน 10 แปลง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานเอกสารในการออกหนังสือรับรองทำประโยชน์ น.ส.3 น.ส. 3ก. สอดคล้องกับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงวันที่ 2 ก.ค.50 ที่คณะกรรมการซึ่งผู้ถูกฟ้องที่ 6 ตั้งขึ้น กรณีมีผู้ร้องเรียนการออกเอกสารสิทธิ ซึ่งฟังได้ว่า การออก น.ส.3 และ น.ส. 3ก. ที่ดิน 18 แปลง ระหว่างปี 2507 – 2523 หลักเกณฑ์ขณะนั้นเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 และฉบับที่ 5 ( พ.ศ.2497) ที่ออกตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 โดยอาศัยหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครอง ( ส.ค.1) และได้มีการสอบสวนพิสูจน์การทำประโยชน์ ซึ่งทุกแปลงผู้ยื่นคำขอต่างยืนยันว่าได้ครอบครองและทำประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว และมีการประกาศคำขอคำรับรองเพื่อให้มีการคัดค้าน และผู้ปกครองท้องที่ ก็ได้รับรองว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือที่สงวนหวงห้าม หรือที่ดินซึ่งราชการเห็นว่าควรสงวนไว้ เพื่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีจำนวน 14 แปลง ที่ผู้ยื่นคำขอมีหลักฐานเป็นแบบการแจ้งการครอบครอง ( ส.ค.1) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
กรณีจึงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเกณฑ์ที่อาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 และ น.ส. 3ก. ให้ได้ กรณีจึงถือว่ามีการออกหนังสือรับรองตามหลักเกณฑ์ ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว
ส่วนที่เมื่อมูลนิธิสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย กล่าวหาว่า มีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินป่าพรุ ม.7 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 22 แปลงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องที่ 6 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้เพิกถอน น.ส. 3ก. จำนวน 1 ฉบับ ที่มีการนำหลักฐานสำหรับที่ดินแปลงอื่นมาใช้เป็นหลักฐานแล้ว ผู้ถูกฟ้องจึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติ จึงพิพากษายกฟ้อง