xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมาธิปไตย (ยามศึกร่วมรบ ยามสงบสร้างสรรค์ปัญญา) (2)

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ความศรัทธา ตั้งใจ ใฝ่รู้ อย่างมีปณิธานอันแน่วแน่เพื่อมวลมนุษยชาติหรือมีปณิธานในเบื้องต้นว่า “เรียนอะไรก็ได้ ทำหน้าที่อะไรก็ได้ ให้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติอุทิศตนเพื่อมวลมนุษยชาติตามแบบอย่างพระบรมศาสดา” สามารถที่จะเข้าถึงองค์ความรู้ในอรรถธรรม ได้โดยไม่ยากนัก และจะเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติอย่างกว้างขวางต่อไป

“สิ่งใดมีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งนั้นเป็นสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เช่น ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) สิ่งใดเป็นสังขตธรรม (สัง แปลว่า ร่วม ประชุม พร้อม ผสม ปรุงแต่ง และขต แปลว่า สิ้นไป) สิ่งที่มาผสมกัน ปรุงแต่งกัน แล้วสิ้นไป เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ สิ่งใดตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ สิ่งนั้นเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด เป็นมายา ไร้แก่นสาร ปราศจากอัตตาตัวตนที่แท้จริง หากผู้ใดสิ้นอุปาทานอิสระจากสังขตธรรมทั้งปวงได้ ย่อมเข้าถึงอสังขตธรรม” (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งได้แก่นิพพาน ธรรมาธิปไตย)

การวิปัสสนาภาวนา จะเป็นปัจจัยทำให้เรารู้แจ้งแห่งการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติ คือสัมพันธภาพระหว่างสภาวะอสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน, บรมธรรม ธรรมาธิปไตย ฯลฯ) กับ สังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่สิ่งไม่มีชีวิต, ธาตุ, แร่ธาตุต่างๆ, สิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืชและสัตว์, รวมทั้งจิตตสังขาร ที่ปรุงแต่งเป็นกุศล หรืออกุศล)

อสังขตธรรม เป็นธรรมที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ ส่วนสังขตธรรม เป็นธรรมที่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตน)

สภาวะอสังขตธรรม เป็นลักษณะองค์เอกภาพ ส่วนสังขตธรรม เป็นลักษณะความแตกต่างหลากหลาย

สภาวะอสังขตธรรม เป็นลักษณะทั่วไป(General) ส่วนสังขตธรรม เป็นลักษณะเฉพาะ (Individual)

สภาวะอสังขตธรรม มีลักษณะแผ่กระจายครอบงำ ปกป้องคุ้มครองส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดส่วนสภาวะสังขตธรรมมีลักษณะ วิวัฒนาการมุ่งตรงต่อองค์เอกภาพ (อสังขตธรรม) จากกฎธรรมชาติดังกล่าวนี้ เมื่อนำไปพิจารณาประยุกต์ใช้ในทางสังคมได้ดังนี้

1) สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักของชาติและเป็นสถาบันองค์ประกอบของรัฐ แน่นอนที่สุด ถูกต้องที่สุด คือสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นลักษณะทั่วไป ลักษณะทั่วไปคือเป็นปฐมแห่งอำนาจทั้งปวงในรัฐ และมีลักษณะแผ่อำนาจกระจายให้ความคุ้มครองด้วยคุณธรรม เป็นความรักความเมตตา กรุณา ออกไปสู่ประชาชนในแผ่นดิน (4,000 กว่าโครงการ)

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเต็มสมบูรณ์ในการที่จะจัดการกับความไม่เป็นธรรมใดๆ อันเกิดจากอำนาจที่เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ หรืออำนาจใดๆ ที่เป็นไปในทางบั่นทอน บ่อนทำลาย เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและประชาชน

1.1 ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”พระมหากษัตริย์เป็นลักษณะทั่วไป(โอบอุ้มส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในชาติ) ส่วนพสกนิกรเป็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างหลากหลาย

พระมหากษัตริย์ ทรงแผ่ธรรมานุภาพ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างไม่มีประมาณ โอบอุ้มคุ้มครองประชาชนภายในรัฐ และประชาชนภายในรัฐต่างก็ขึ้นตรง(จงรักภักดี) ต่อองค์พระมหากษัตริย์

เราจะเห็นได้ชัดเจนโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ เลยว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงแผ่ธรรมานุภาพด้วยทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกร ด้วยพระราชกรณียกิจในโครงการพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ พสกนิกรทั้งหลายต่างก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาฯ ขึ้นตรงต่อ (จงรักภักดี) องค์พระมหากษัตริย์และองค์พระราชินีนาถ อย่างมิได้เสื่อมคลาย (ที่ดันทุรังอยู่บ้างก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิด)

ท่านทั้งหลายจะเห็นความเป็นไปบนความสัมพันธ์ระหว่างแผ่กระจายกับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ และพสกนิกรดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้องค์พระมหากษัตริย์ทรงตั้งอยู่ในธรรมนั่นเอง

1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับกองทัพ

ความสัมพันธ์หลัก
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ ทรงมีอำนาจเหนือนายทหารในกองทัพทุกหมู่เหล่า ทหารในกองทัพจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระมหากษัตริย์ กองทัพจึงเป็นองค์ประกอบของรัฐ นายทหารทั้งปวงจะต้องเข้าใจในหลักการสำคัญยิ่งนี้ด้วยนี้ด้วยหากไม่เข้าใจหลักการ ปัญญานี้ก็จะกลายเป็นทหารแตงโม ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี

ความสัมพันธ์รอง
กองทัพเป็นกลไกรัฐ ต้องปฏิบัติตามอำนาจของรัฐบาล แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นอำนาจที่เป็นไปโดยชอบธรรมและเป็นไปเพื่อความมั่นคงของชาติและประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความมั่นคงของผู้นำรัฐบาล หรือผู้นำพรรคการเมืองเพื่อจะทำให้ได้เปรียบหรือเพื่อที่จะไปทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ในเมื่อประชาชนต่อสู้ด้วยสติปัญญาอย่างสันติปราศจากอาวุธ

1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับระบอบการเมือง เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้มากแล้ว (อ่านได้จากเว็บไซต์)

ในที่นี้จะขอพูดสั้นๆ ว่า ระบอบการเมืองที่เป็นธรรมนั้น จะเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ประเทศมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน แต่ขณะเดียวกันระบอบการเมืองที่ไม่เป็นธรรม ก็จะเป็นปัจจัยให้การปกครองไม่เป็นธรรม คือรัฐบาลจะบริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นครอบงำประชาชนจากอิทธิพลอำนาจมืดในรูปแบบต่างๆ บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ ไม่ปกติสุขจนเกิดความขัดแย้งไปทั่วในหมู่ประชาชน จนบ้านเมืองเสื่อมลงไปมากแล้ว

จุดอ่อนของการเมืองไทย คือ การสร้างระบอบการเมืองไม่ถูกต้องโดยธรรม ผิดทำนองครองธรรมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ยาวนาน 80 กว่าปี และต่อไปเป็นครั้งที่ 19 จึงไม่อยากเห็นการดำเนินการที่ผิดพลาดอีกต่อไป

ในอดีตจะเห็นได้ว่า เมื่อการปกครองไม่เป็นธรรม จะเป็นปัจจัยให้เกิดวิกฤตทางการเมือง จะเป็นปัจจัยให้มีการทำรัฐประหารจากนั้นกลุ่มนายทุน นักการเมืองผู้เสียประโยชน์ย่อมจะรวมตัวกันโค่นคณะรัฐประหาร แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญซ้ำรอยเดิม โดยพวกเขาเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะได้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ผิดหวังทุกครั้งไปถึง 18 ครั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดงก็ยังโง่เหมือนเดิม คิด ทำซ้ำรอยเดิม 18 ครั้ง

การสร้างระบอบการเมืองที่ถูกต้องโดยธรรม ทำอย่างไร

1) สร้างหลักการปกครองหรือระบอบเป็นเบื้องต้น ด้วยนโยบายที่เป็นธรรม โดยพระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย 9

2) จากนั้นแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีอยู่แล้ว หรือจะปรับปรุงหมวด และมาตราต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองหรือระบอบการปกครองโดยธรรม การสร้างระบอบนั้นๆ ก็จะสำเร็จลงได้

ผู้มีอำนาจ หรือใครที่อยากจะคิดแก้ปัญหาบ้านเมืองให้รอดปลอดภัย ชนในชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขเป็นเอกภาพและมั่นคง จะต้องอิสระจากระบอบการเมืองปัจจุบัน แล้วสร้างวิธีคิดจากการวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ จากนั้นประยุกต์ให้เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ขยายออกเป็นหลักธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกันทั้ง 9 ข้อ เป็นหลักการปกครองที่ท้าทายต่อทุกฝ่ายและปัญญาชนของชาติทั้งหลาย กล่าวโดยย่อคือ

1. หลักธรรมาธิปไตย

2. หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน

4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์

5. หลักความเสมอภาค

6. หลักภราดรภาพ

7. หลักเอกภาพ

8. หลักดุลยภาพ

9. หลักนิติธรรม

ใครอยากได้ระบอบประชาธิปไตย ก็ชูธงเรียกร้องหลักการปกครองทั้ง 9 นี้ใครไม่เอา กลุ่มไหนไม่เอา พรรคไหนไม่เอา ก็รู้ว่ามันก็คือของปลอม ปลิ้นปล้อน กะล่อนตอแหลต่อปวงชนและก็หลอกให้ไปเอารัฐธรรมนูญใหม่ ผิดซ้ำรอยเดิม 19, 20 ครั้ง อาจจะถึง100 ครั้ง เช่นนั้นหรือ

หลักการปกครองโดยธรรม 9
นี้จะเป็นหลักประกันของปวงชนในชาติ บนความสัมพันธ์ของปวงชนในแผ่นดินและจะทำให้หมดเงื่อนไขในการแบ่งแยกดินแดน และก็มีทางเดียวเท่านั้น เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ มหัศจรรย์ สันติและเพื่อความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน ชั่วกาลนาน คือ

1. องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย 9 (หรือนอกเหนือจากหลักธรรมาธิปไตย 9 นี้ก็ได้)

จากนั้นประชาชนเพียงจำหลักการปกครอง 9 ข้อเท่านั้น ก็จะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชน และระหว่างประชาชนกับระบอบการเมืองของรัฐ และความสัมพันธ์ต่อองค์กรต่างๆ ภายในรัฐเป็นอย่างไร เป็นตามหลักการปกครองหรือไม่ และประชาชนก็จะรู้ว่ารัฐบาลนั้นๆ ปฏิบัติต่อประชาชนได้ถูกต้องตามหลักการปกครองหรือไม่

ซึ่งแตกต่างจากระบอบปัจจุบันตัดสินความถูกผิดด้วยเสียงข้างมาก ใครพวกมากก็ชนะ ทั้งๆ ที่ทำผิดก็ได้ พวกมากลากไปพาไปพินาศ ประชาชนก็ไม่รู้ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านทำถูกหรือทำผิด เพราะไม่มีหลักการปกครองให้เทียบวัดได้

2. ดำเนินการปรับปรุงหมวดและมาตราต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองทั้ง 9 เพียงเท่านี้เราก็จะได้ระบอบการเมืองแบบธรรมาธิปไตยเป็นธรรมต่อปวงชนจริงๆ อย่างไม่หมกเม็ดและมีรัฐธรรมนูญที่มีองค์ประกอบอย่างถูกต้อง

3. ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบการต่างๆ โดยให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าไม่ยากเลย

ถ้าทำได้สำเร็จจะสามารถขจัดเงื่อนไขอันเลวร้ายต่างๆ ในชาติของเราได้อย่างมากมายในแผ่นดินนี้ ทั้งเป็นการเชิดชูส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์และเชิดชูประชาชน บนฐานแห่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มั่นคงยั่งยืนสืบไป

เราในฐานะพสกนิกร ได้แต่เรียกร้อง เฝ้ารอ หวังให้องค์พระมหากษัตริย์สถาปนาการปกครองให้เป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย เราทำได้เพียงเท่านี้

องค์พระมหากษัตริย์ จะเป็นที่หยุด เป็นที่ดับความสับสนและความขัดแย้งทางการเมืองลงได้ ทุกฝ่ายต่างก็พูดว่าจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธงธรรมและได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นประจักษ์ตามพระปฐมบรมราชโองการมาเป็นเวลานานร่วม 60 กว่าปีแล้ว

มีความเห็นว่าข้อยุติของทุกฝ่ายต้องมาบรรจบที่องค์พระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นธงชัยของปวงชนทั้งในหลักการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และวิธีการ “พระองค์ทรงพระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริ 4,000 กว่าโครงการ” หรืออีกนัยหนึ่งพระองค์ทรงตั้งอยู่ในจุดมุ่งหมายและมรรควิธีโดยธรรม

แต่ระบอบการเมืองกลับตรงกันข้ามกับทำนองครองธรรม ลักษณะอย่างนี้ใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เสี่ยงที่จะถูกโจมตีว่าขัดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างเป็นไปเอง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด เคยกล่าวไว้ในทำนองว่า “ใครๆ ก็ชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่จะมีใครบ้างปฏิบัติตามแบบอย่างพระเจ้าอยู่หัว” ทั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงถือธรรมเป็นใหญ่ แต่ระบอบการเมืองไทยกลับตรงกันข้ามพิกลพิการผิดทำนองครองธรรมมา 18 ครั้งแล้ว

ใครเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลก็ต้องพิกลพิการผิดทำนองครองธรรมไปด้วยแทบทุกรัฐบาล ทั้งจะเป็นปัจจัยให้ประเทศชาติล้าหลังและประชาชนยากจน และอ่อนกำลังลง ด้วยรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับไม่เคยมีหลักการปกครองเลย จะมีก็เพียงรูปแบบ คือระบบรัฐสภา ส.ส. ส.ว. การเลือกตั้ง (ซื้อเอา) ฯลฯ และวิธีการปกครองคือกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่านั้น

เขียนให้ฉุกคิด... รัฐบาลกำลังหลงทางอีกแล้ว ทั้งๆ ที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงชูธงธรรมเป็นธงชัย ในพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นตัวอย่างอันงดงามมายาวนานร่วม 60 กว่าปีแล้วละทิ้งลัทธิรัฐธรรมนูญอัปรีย์จัญไรของชาติอย่างที่พรรคเพื่อไทยยึดอยู่กำลังทำอยู่ได้แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น