ASTVผู้จัดการรายวัน - ทรูส์วิชั่นงัดแผนสู้ศึกพรีเมียร์ลีก ดึงช่อง3 ร่วมถ่ายทอดสด 17 แมทช์ในฤดูกาล 2012/2013 หวังเข้าถึงคนไทยมากขึ้น ยันประมูลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ สู้เต็มที่พร้อมลุยคนเดียว หากไม่ได้พร้อมซื้อต่อผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ไป เผยกำเงินซื้อเตรียมซื้อลิขสิทธิ์แต่ละครั้ง 7,000 ล้านบาท
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลถัดไป ตั้งแต่ปี 2013/2014,2014/2015, และ2015/2016 ที่จะเริ่มยื่นประมูลกันในเดือนส.คนี้ ล่าสุดทางทรูวิชั่นส์ยังพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลแบบรายเดียว แต่ทั้งนี้ก็เปิดกว้างสำหรับพันธมิตรที่จะร่วมประมูลไว้เช่นกัน ซึ่งจะต้องดูในรายละเอียดกันอีกที อย่างไรก็ตามหากการประมูลครั้งนี้ทางทรูวิชั่นส์ไม่ได้ ก็จะมีการขอซื้อสิทธิ์ต่อจากผู้ที่ได้ไปต่อ โดยยืนยันว่าพร้อมทุ่มเม็ดเงินที่จะรักษาลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกไว้ให้ได้ในทุกทาง
ทั้งนี้สำหรับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลปัจจุบัน ทางทรูวิชั่นส์ใช้งบไปกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีนั้นทรูวิชั่นส์พร้อมวางงบลงทุนในส่วนของการซื้อคอนเท้นต์ของแต่ละปีไว้ที่ 7,000 ล้านบาท
ล่าสุดสำหรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล2012/2013 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค นี้ เป็นต้นไป ที่จะมีทั้งหมด 380 แมทช์ ได้จับมือกับทางช่อง3 เพื่อร่วมกันถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวรวมกว่า 17 แมทช์ เฉลี่ย 2 แมทช์ต่อเดือน ซึ่งมี 4 แมทช์ที่เป็นการแข่งขันของคู่บิ๊ก4 โดยคู่แรกที่จะร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ คือ คู่ แมนซิตี้กับลิเวอร์พูล ในวันที่26 ส.ค.นี้ มั่นใจว่าจะทำให้คนไทยได้รับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญแต่ละคู่ที่ทางช่อง3 ร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ ยังเป็นเวลาที่เหมาะสม รวมถึงเป็นช่วงเวลาไพร์มไทม์อีกด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00น., 20.00น.,23.00น. และ24.00น. ดังนั้นฤดูกาลการแข่งขันปีนี้ เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากคนไทยสูงมาก โดยขณะนี้มีเมนสปอนเซอร์หลักแล้ว 3 ราย แพกเกจขายราคา 60 ล้านบาท คือ ยามาฮ่า, ช้าง และยูโรคัสตาร์ด
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 กล่าวว่า สำหรับการร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับการขายโฆษณา ซึ่งแผนการขายโฆษณาครั้งนี้ทางช่อง3จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด โดยวางราคาโฆษณาไว้เท่ากับราคาเดิมของรายการในช่วงนั้น เช่น ช่วงละครก่อนข่าว จะอยู่ที่ 3.6 แสนบาทต่อนาที และช่วงละครหลังข่าวอยู่ที่ 4.8 แสนบาทต่อนาที มั่นใจว่าจะทำการขายโฆษณาได้ค่อนข้างมาก เพราะมีสินค้าที่ตอบโจทย์กับคอนเท้นต์กีฬาดังกล่าว เช่น สินค้ากลุ่มผู้ชาย รวมถึงรถยนต์ บวกกับเป็นช่วงที่ลูกค้ายังพร้อมใช้เงิน จึงมองว่าน่าจะสามารถทำการขายโฆษณาได้ใกล้เคียงกับรายได้โฆษณาจากช่วงรายเดิมที่ออกอากาศ ขณะที่รายได้โฆษณาครั้งนี้จะมีการแบ่งรายได้กับทางทรูวิชั่นส์ในอัตราส่วนที่ตกลงกันไว้ แต่เฉพาะช่อง3แล้ว มองว่าจากกการร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ น่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ช่อง3 เมินร่วมชิงพรีเมียร์ลีก
ด้านนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการผู้จัดการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 กล่าวว่า ด้วยความที่ ช่อง3 เป็นฟรีทีวี จึงไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แต่ถ้ามองในแง่ของพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดแล้ว มีความสนใจและมองว่า เหมาะสมกับทางช่อง3มากกว่า
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลถัดไป ตั้งแต่ปี 2013/2014,2014/2015, และ2015/2016 ที่จะเริ่มยื่นประมูลกันในเดือนส.คนี้ ล่าสุดทางทรูวิชั่นส์ยังพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลแบบรายเดียว แต่ทั้งนี้ก็เปิดกว้างสำหรับพันธมิตรที่จะร่วมประมูลไว้เช่นกัน ซึ่งจะต้องดูในรายละเอียดกันอีกที อย่างไรก็ตามหากการประมูลครั้งนี้ทางทรูวิชั่นส์ไม่ได้ ก็จะมีการขอซื้อสิทธิ์ต่อจากผู้ที่ได้ไปต่อ โดยยืนยันว่าพร้อมทุ่มเม็ดเงินที่จะรักษาลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกไว้ให้ได้ในทุกทาง
ทั้งนี้สำหรับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลปัจจุบัน ทางทรูวิชั่นส์ใช้งบไปกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีนั้นทรูวิชั่นส์พร้อมวางงบลงทุนในส่วนของการซื้อคอนเท้นต์ของแต่ละปีไว้ที่ 7,000 ล้านบาท
ล่าสุดสำหรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล2012/2013 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค นี้ เป็นต้นไป ที่จะมีทั้งหมด 380 แมทช์ ได้จับมือกับทางช่อง3 เพื่อร่วมกันถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวรวมกว่า 17 แมทช์ เฉลี่ย 2 แมทช์ต่อเดือน ซึ่งมี 4 แมทช์ที่เป็นการแข่งขันของคู่บิ๊ก4 โดยคู่แรกที่จะร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ คือ คู่ แมนซิตี้กับลิเวอร์พูล ในวันที่26 ส.ค.นี้ มั่นใจว่าจะทำให้คนไทยได้รับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญแต่ละคู่ที่ทางช่อง3 ร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ ยังเป็นเวลาที่เหมาะสม รวมถึงเป็นช่วงเวลาไพร์มไทม์อีกด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00น., 20.00น.,23.00น. และ24.00น. ดังนั้นฤดูกาลการแข่งขันปีนี้ เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากคนไทยสูงมาก โดยขณะนี้มีเมนสปอนเซอร์หลักแล้ว 3 ราย แพกเกจขายราคา 60 ล้านบาท คือ ยามาฮ่า, ช้าง และยูโรคัสตาร์ด
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 กล่าวว่า สำหรับการร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับการขายโฆษณา ซึ่งแผนการขายโฆษณาครั้งนี้ทางช่อง3จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด โดยวางราคาโฆษณาไว้เท่ากับราคาเดิมของรายการในช่วงนั้น เช่น ช่วงละครก่อนข่าว จะอยู่ที่ 3.6 แสนบาทต่อนาที และช่วงละครหลังข่าวอยู่ที่ 4.8 แสนบาทต่อนาที มั่นใจว่าจะทำการขายโฆษณาได้ค่อนข้างมาก เพราะมีสินค้าที่ตอบโจทย์กับคอนเท้นต์กีฬาดังกล่าว เช่น สินค้ากลุ่มผู้ชาย รวมถึงรถยนต์ บวกกับเป็นช่วงที่ลูกค้ายังพร้อมใช้เงิน จึงมองว่าน่าจะสามารถทำการขายโฆษณาได้ใกล้เคียงกับรายได้โฆษณาจากช่วงรายเดิมที่ออกอากาศ ขณะที่รายได้โฆษณาครั้งนี้จะมีการแบ่งรายได้กับทางทรูวิชั่นส์ในอัตราส่วนที่ตกลงกันไว้ แต่เฉพาะช่อง3แล้ว มองว่าจากกการร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ น่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ช่อง3 เมินร่วมชิงพรีเมียร์ลีก
ด้านนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการผู้จัดการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 กล่าวว่า ด้วยความที่ ช่อง3 เป็นฟรีทีวี จึงไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แต่ถ้ามองในแง่ของพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดแล้ว มีความสนใจและมองว่า เหมาะสมกับทางช่อง3มากกว่า