ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังการชิงชัยเหรียญรางวัลในลอนดอนเกมส์ ผ่านไปได้สามวันคนไทยก็ได้ฮีโร่โอลิมปิกคนที่ 20 เข้าสู่“ฮอลล์ออฟเฟม” ของบ้านอัมพวัน เป็นที่เรียบร้อยจากเหรียญเงินของ “น้องแต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว สาวน้อยวัย 22 ปีจากจังหวัดขอนแก่น ที่มีความใฝ่ฝันว่าสักวันต้องติดทีมชาติยกน้ำหนักและคว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกมาครองให้ได้ และในวันนี้ฝัน ของเธอได้กลายเป็นจริงไป
และต่อจากนี้คือชีวิตของ “พิมศิริ” จะมิใช่แค่นักกีฬาทีมชาติคนหนึ่งเท่านั้นหากเหรียญจากโอลิมปิกคือสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอ แม้เจ้าตัวให้คำมั่นสัญญาว่า “ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม อยู่ในระเบียบวินัยของการฝึกซ้อม และรับใช้ชาติเพื่อทำให้คนไทยมีความสุขต่อไป” แต่เวลานี้ “น้องแต้ว” คือ นารีขี่ม้าขาวตัวจริง ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศยิ้มได้
-1.-
การแข่งขันยกน้ำหนักหญิงเมื่อวัน 30 กรกฎาคมที่ผ่านมาคนไทยทั้งประเทศต้องลุ้นระทึกกันก่อนเที่ยงคืนของวันจันทร์ต่อเช้าวันอังคารเมื่อ “น้องแต้ว” ซึ่งเป็นตัวเต็งในการคว้าเหรียญโอลิมปิกของสมาคมยกน้ำหนักทำได้ไม่ดีนักในท่าสแนชถ้าจะให้ตรงจุด ก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่ถึงสถิติที่เคยทำเอาไว้ เวลานั้นด้านหลังเวทีเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ขณะที่ “น้องแต้ว” สารภาพว่าเธอนั้นแทบจะหมดอารมณ์แข่ง แต่ขณะที่จิตใจกำลังเต็มไปด้วยความสับสน พลัน เสธ.ยอด (พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย ได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ประโยคสั้นๆที่ทำให้เธอฮึดขึ้นมาอีกครั้ง “แต้ว เกมนี้ยังไม่จบ”
เป็นจริงอย่างที่ “เสธ.ยอด” ว่าไว้ “เกมยังไม่จบ” แต้วออกมายกต่อในท่าคลีนแอนด์เจิร์กซึ่งดูเหมือนเทพีแห่งโชคจะยืนอยู่ข้างเธอเพราะการยกในท่านี้ “แต้ว” สามารถเรียกน้ำหนัก และ ยกผ่านได้ชนิดที่ขึ้นมาติดอยู่ในทอป 3 และทันทีที่เธอยกผ่านในการเรียกน้ำหนักที่ 136 กิโลกรัม นั่นหมายถึงเหรียญรางวัลมาอยู่ในกำมือแล้ว แต่คนไทยที่ชมการถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้าน ต่างพากันแปลกใจที่จอมพลังสาวไทยไม่ได้แสดงท่าทียินดียินร้ายอะไร ซึ่งเธอเผยภายหลังว่าเวลาแข่งนั้นจะไม่รู้ว่าตนเองมีลุ้นขนาดไหนเพราะไม่อยากกดดัน
และพลันที่ หลี่ ซูหยิง ยกครั้งสุดท้ายไม่ผ่านในน้ำหนัก 144 กก. แต่น้ำหนักยกรวมที่เหนือกว่าศิริพร 10 กก. ทำให้ “น้องแต้ว” คว้าเหรียญเงินลอนดอนเกมส์ มาครองได้สำเร็จและนับเป็นเหรียญแรกในโอลิมปิกหนนี้ของทัพนักกีฬาไทย
“เมื่อเดินทางกลับประเทศไทยอยากทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นความตั้งใจมานานแล้วเพราะสมัยก่อนเคยเห็นพระองค์ท่านทรงกีฬาเรือใบ ทรงพระปรีชาสามารถเป็นแบบอย่างให้คนไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำอะไรเพื่อคนไทยบ้าง”น้องแต้ว
-2.-
หลังทำให้คนไทยทั้งประเทศนอนหลับฝันดีด้วยเหรียญเงินโอลิมปิก เช้าวันที่ 31 กรกฎาคม “น้องแต้ว” และ “เสธ.ยอด” เดินทางมาให้กำลังใจนักกีฬายกน้ำหนักชาย พร้อมกับนัดหมายให้สัมภาษณ์สดกับสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของประเทศ และในระหว่างนั้น ผู้สื่อข่าวจากเอเอสทีวีผู้จัดการ มีโอกาสได้พูดคุยแบบประชิดตัวกับ “ฮีโร่โอลิมปิกคนที่ 20”
ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา สาวน้อยจากเมืองขอนแก่นเล่าถึงการต่อสู้อันยากลำบากของตนเองก่อนมาถึงวันนี้ว่า “จากจุดเริ่มต้นมาจนถึงวันนี้เป็นการเดินทางที่หนักมาก เพราะก่อนจะมาถึงโอลิมปิกได้ต้องเก็บประสบการณ์มาเรื่อยๆ ได้ไปแข่งที่ฝรั่งเศสแข่งที่อินโดนีเซีย ในซีเกมส์ มันเป็นการเดินทางที่เราต้องต่อสู้กับทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ หรือ ทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามเป้า กว่าจะมาถึงแมทช์นี้ได้ต้องอดทน และ มีวินัยในการฝึกซ้อมมาโดยตลอด” เมื่อถูกถามว่ามีช่วงที่ท้อบางหรือไม่สาวน้อยวัย 22 ปี กล่าวว่า “ช่วงที่ท้อที่สุดคือช่วงที่เรามีอาการบาดเจ็บด้วยความที่มันเรื้อรังจนทำให้เราไม่สามารถเรียกศักยภาพของตนเองออกมาได้เต็มที่แต่พอรักษาให้หายขาดได้ก็รู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้น”
“พิมศิริ” นั้นเรียกได้ว่ารักการเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กและยกน้ำหนักคือสิ่งที่เธอเชื่อว่าจะทำได้ดีที่สุดเมื่อตัดสินใจเรียนต่อในโรงเรียนกีฬาจังหวัดชลบุรีโดยเผยว่า “ตั้งแต่เด็กมาแล้วอยู่บ้านชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะกรีฑา ใจเรามาทางนี้ลุงเขาเห็นเราชอบก็เลยสนับสนุนพามาสมัครโรงเรียนกีฬาที่ชลบุรี ตอนแรกเลือกกรีฑาเอาไว้ แต่ สุดท้ายไปจบที่ยกน้ำหนัก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประเภทกีฬาที่ตนเองชื่นชอบเพราะต้องแข่งกับตนเอง ไม่ใช่กีฬาที่ใช้พละกำลังอย่างเดียวแต่ต้องมีเทคนิค ในการยกด้วย”
3.
โอลิมปิกครั้งแรกคว้าเหรียญเงิน แน่นอนว่าด้วยภาพร่างกายที่ยังแข็งแกร่ง และ อายุยังน้อย “น้องแต้ว” ยังคงเป็นความหวังให้กับทีมยกน้ำหนักต่อไป ซึ่งเธอเองก็ตั้งใจเช่นนั้น ขณะเดียวกันยังเผยความในใจลึกๆที่อยากรับใช้ชาติในฐานะทหารของกองทัพด้วย โดยแต้วเผยถึงอนาคตของตนเองหลังจบศึกที่ลอนดอนว่า “ตอนนี้แต้ว เรียนคณะวิทยาศาสตร์ การกีฬาที่สถาบันการพละศึกษาจังหวัดชลบุรี เป็นปีสุดท้ายที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ที่สถาบัน เข้าใจดีเมื่อมีแข่งก็ต้อง ขออนุญาตอาจารย์ เพื่อไปเก็บตัวฝึกซ้อม พอว่างเราก็จะกลับมาเรียนตามปกติ ซึ่งจบโอลิมปิกหนนี้ก็จะได้กลับไปเรียนต่อให้จบ”
แน่นอนว่าเมื่อจบการศึกษา ต้องหาอาชีพหลักเอาไว้รองรับหลังปลดระวางจากทีมชาติ และดูเหมือนว่า “น้องแต้ว” ได้ประกาศความต้องการผ่านสื่อเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเธอบอกกับทุกคนว่าอยากรับราชการเป็นทหารบก และหนนี้เธอก็ยังย้ำคำเดิมโดยเผยว่า “อยากรับราชการเป็นทหารเพราะส่วนหนึ่งอยากสวมเครื่องแบบ แต่อีกส่วนหนึ่งได้เห็นรุ่นพี่ที่ติดทีมชาติแล้วรับราชการเราก็มองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง ส่วนจะมีโอกาสหรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่ผู้ใหญ่ท่านจะพิจารณา”
ดูเหมือนว่า “แต้ว” จะวางแผนอนาคตของตนเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอยังกล่าวถึงฝันไกลในอีกสี่ปีข้างหน้าที่ ริโอ เดอ จาเนโรว่า “ครั้งนี้ได้เหรียญเงิน หนหน้าที่บราซิล ก็หวังว่าจะได้เหรียญทอง เพราะถึงเวลานั้นเชื่อว่าประสบการณ์ของตนเอง จะทำให้นิ่งกว่าในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ประมาทคู่ต่อสู้ในรุ่นเดียวกัน เชื่อว่าทุกคนต่างต้องเตรียมความพร้อมก่อนที่จะลงสู้ศึกใหญ่อย่างแน่นอน”
สำหรับเงินรางวัล หรือที่เรียกว่าเงินอัดฉีดสำหรับนักกีฬาที่คว้าเหรียญรางวัลนั้น มีรายงานว่า “ฮีโร่โอลิมปิก” รายนี้อาจได้รับเงินสูงถึง 21 ล้านบาททั้งจากภาครัฐและเอกชน แต่ดูเหมือนว่า “น้องแต้ว” จะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเงินจำนวนมากมายดังกล่าวเธอกล่าวว่า “ไม่มีแผนทำอะไรกับเงินรางวัลที่จะได้รับขอเก็บเอาไว้เป็นทุนสำหรับอนาคตข้างหน้า แล้วครอบครัวของเราก็อยู่กันอย่างพอเพียง เวลาแต้ว ไปขอนแก่น ก็ไปนอนที่บ้านพ่อแม่ พอมาเรียนก็อยู่หอที่ชลบุรี จากนั้นก็เข้าค่ายเพื่อเก็บตัวฝึกซ้อม เลยไม่คิดว่าจะต้องนำเงินไปใช้จ่ายอะไร”
หลังจากคุยกันเรื่องของผลงาน อนาคตในฐานะ “ฮีโร่โอลิมปิก” ที่เจ้าตัวยืนยันว่ายังคงเป็น “แต้ว” คนเดิมที่ไม่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน สาวน้อยวัย 22 ปีจากขอนแก่น ก็เผยถึงความต้องการส่วนตัวเมื่อกลับถึงบ้านเกิดว่า “อยากกลับบ้านที่ขอนแก่นไปหาพ่อแม่ เพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว” ส่วนอาหารไทยจานแรกที่เมื่อกลับถึงบ้านแล้วอยากประเดิมเป็นเมนูแรกนั้น “แต้ว” ยิ้มส่ายหน้าบอกว่าไม่มีอยากทานอะไรเป็นพิเศษ แต่พอผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่อยากทานส้มตำหรือ “แต้ว” ยิ้มแบบเต็มหน้าพร้อมกับพูดว่า “พอพี่พูดหนูก็อยากทานขึ้นมาเลย”
ขณะเดียวกัน “น้องแต้ว” ยังกล่าวขอบคุณคนไทยที่ส่งกำลังใจมาเชียร์ นอกจากนี้ยังให้สัญญาด้วยว่า “แม้จะเป็นนักกีฬาที่คว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิก แต่ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ยังอยู่ในระเบียบวินัยของการฝึกซ้อม และ ให้สัญญาว่าจะยังคงรับใช้ชาติเพื่อทำให้คนไทยมีความสุขต่อไป”
และก่อนจะจากกัน ผู้สื่อข่าวเรียบเคียงถาม “น้องแต้ว” ถึงเรื่องของหัวใจ สาวน้อยวัย 22 ปียิ้มด้วยความเขินอายก่อนบอกว่า “โหพี่ หนูยังไม่คิดเรื่องนี้ หนูยังไม่มีแฟน”
“โค้ชเอ” อภิญญา ดัชถุยาวัตร พูดถึง “พิมศิริ”
อภิญญา ดัชถุยาวัตร โค้ชทีมยกน้ำหนักทีมหญิงเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้เห็น “พิมศิริ” มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นกีฬายกน้ำหนักระดับเยาวชนและได้เห็นพัฒนาการของ “ฮีโร่โอลิมปิก” ที่ผ่านการเจียระไนของโค้ช “หัน จางเหม่ย”มาโดยตลอด โดย “โค้ชเอ” เผยถึงภาพที่ผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันของพิมศิริว่า “ได้มีโอกาสรู้จักกับแต้วช่วงที่ศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยากีฬาที่ชลบุรี ตอนเห็นเขาครั้งแรกรู้สึกได้เลยว่าเด็กคนนี้หน่วยก้านดี และ บอกกับเขาว่าไม่เกินหนึ่งปีต้องติดทีมชาติอย่างแน่นอนซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“หลังจากที่ติดทีมชาติแล้ว แรกๆแต้วยังไม่ออกแววมาเท่าไร จนกระทั่งได้มาเจอกับโค้ชหัน (หัน จางเหม่ย) ซึ่งเป็นโค้ชให้กับทีมหญิงโดย “โค้ชหัน” มีประสบการณ์ในการพัฒนานักยกน้ำหนักมาก และเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของแต้ว เพราะ โค้ชได้ดึงเอาความสามารถของ แต้ว ออกมาได้” นอกจากนี้ โค้ชเอ ยังได้กล่าวถึงความมีวินัยของนักยกน้ำหนักสาวว่า “แต้ว เป็นนักกีฬาที่มีวินัยในการฝึกซ้อมมาก และ ตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในฐานะนักกีฬายกน้ำหนักจริงๆ
“ช่วงแรกแต้ว จะมีปัญหาในเรื่องการควบคุมสภาพจิตใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะกีฬาประเภทนี้เรื่องของการควบคุมจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งท่านนายกสมาคมฯได้ว่าจ้างนักจิตวิทยามาช่วยในทีม นอกจากนี้การไปแข่งในต่างประเทศ ทำให้นักกีฬามีประสบการณ์และรู้วิธีที่จะรับมือกับความกดดันในเวลาแข่งด้วย ซึ่งจะเห็นว่า “แต้ว” นั้นพัฒนาจากในระดับเยาวชนมาได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อให้โค้ชเอ พูดถึงอนาคตของ “น้องแต้ว” เธอกล่าวว่า “อนาคตต่อจากนี้ แต้ว นับได้ว่าเป็นนักยกน้ำหนักที่มีอนาคตไกลเพราะปัจจุบันอายุเพียงแค่ 22 ปี ยังรับใช้ชาติได้อีกยาวและในโอลิมปิก 2014 นั้นแต้วมีโอกาสที่จะคว้าเหรียญทองเลยทีเดียวเพียงแต่ต้องปรับปรุงเรื่องเทคนิคในการยกบางจุด ซึ่งจะทำให้ตัวนักกีฬามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น”
คุณแม่อมรรัตน์ ศิริแก้ว เผย “แต้วเป็นนักกีฬาตั้งแต่เด็ก”
นางอมรรัตน์ ศิริแก้ว คุณแม่วัย 48 ปีที่ได้ฉลองวันเกิดพร้อมกับความสำเร็จของลูกสาว ได้กล่าวถึงน้องแต้วในวัยเด็กว่า "ตอนเด็กๆน้องแต้วมีอุปนิสัยร่าเริง เข้มแข็ง และอดทน ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เมื่อถึงวันหยุดก็จะมาช่วยพ่อแม่ทำงานทั้งทำนา และช่วยทำงานบ้านทั้ง กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน หรือซักผ้า ตอนเด็กๆก็ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะกรีฑา"
นอกจากนี้คุณแม่เผยถึงความฉายแววความเป็นนักกีฬาตั้งแต่เยาว์วัย "ตั้งแต่ระดับอนุบาลที่โรงเรียนบ้านเขวาก็ได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด ซึ่งเป็นคุณครูประจำโรงเรียนเป็นส่งชื่อไปแข่งตามที่ต่างๆเรื่อยมาจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนจะมาต่อระดับ ม.1-2 ที่โรงเรียนมัญชาศึกษา ในจังหวัดขอนแก่น ก่อนจะย้ายไปสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชลบุรีเรื่อยมา โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ศักดิ์ชัย ธิตะจารี หรือ "อ.อ๊อด" ซึ่งเป็นคนเห็นแววน้องแต้วว่าพอมีหน่วยก้านพอที่จะเป็นนักยกน้ำหนักได้เลยเรียกมาทดสอบและพาไปแข่งตามรายการต่างๆด้วย ต่อมา นพ.นิรันดร มณีกานนท์ ผอ.โรงพาบาลพระยืน จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นคุณอาของน้องแต้ว เป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาเป็นพิเศษ รวมถึงมีฐานะที่ดี อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาตลอดระยะเวลาที่เจ้าตัวศึกษาที่ วิทยาลัยพลศึกษา วิทยาเขตจังหวัดชลบุรี"
คุณแม่ที่ได้ของขวัญวันเกิดจากลูกสาวเป็นเหรียญรางวัลโอลิมปิก กล่าวถึงชีวิตต่อจากนี้ที่อาจเปลี่ยนไปว่า “ไม่ได้หวังว่าจะได้ของฝากอะไรจากลูก ก็ขอให้เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพก็พอใจแล้ว ซึ่งจากนี้ไปก็จะมีผู้สนับสนุนมอบเงินรางวัลให้น้องแต้วเป็นอย่างมากแน่ แต่เราก็ยังคงทำหน้าที่การงานของเราต่อไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่นเป็นแน่"
ผลงานของ พิมศิริ ศิริแก้ว ก่อนถึงเหรียญเงินโอลิมปิก
2 เหรียญทองแดง ชิงแชมป์โลกปี 2554
1 เหรียญทองซีเกมส์ 2554
2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดงยุวชนชิงแชมป์โลก 2553
2 เหรียญเงิน เยาวชนโลกปี 2552
1 เหรียญเงิน ซีเกมส์ 2552
3 เหรียญทองเยาวชนชิงแชมป์โลก 2551
3 เหรียญทองเยาวชนชิงแชมป์โลก 2551
ประวัติ พิมศิริ ศิริแก้ว พิมศิริ ศิริแก้ว (แต้ว)
เกิดวันที่ 25 เมษายน 2533 อายุ 22 ปี
บิดา นาย คำปุ่น ศิริแก้ว อายุ 49 ปี อาชีพ ทำนา และรับจ้างขายอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ในตัวเมือง
มารดา นางอมรรัตน์ ศิริแก้ว อายุ 48 ปี อาชีพ ทำนา และรับจ้างขายอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ในตัวเมือง
มีพี่น้อง 2 คน แต้วเป็นคนเล็ก มีพี่ชายชื่อ พงศกร ศิริแก้ว อายุ 24 ปี
การศึกษา
อุดมศึกษา ปัจจุบัน ศึกษาชั้นปี 4 สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชลบุรี
มัธยมศึกษาปีที่ 3-6 โรงเรียนกีฬาจังหวัดชลบุรี
มัธยมศึกษาปีที่ 1-2 โรงเรียนมัญจาศึกษา ขอนแก่น
อนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเขวา จ.ขอนแก่น