เรื่องของกาลเทศะและจิตสำนึกในฐานะผู้นำประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แสดงออกในการร่วมงานฉลองครบ 1 ปี พรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา และยังร้องเพลง “สุขกันเถอะเรา” ขณะที่มีการวางระเบิดก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มก่อการร้ายใช้รถยนต์ระเบิดก่อวินาศกรรมที่โรงแรมหรูในตัวจังหวัดปัตตานีจนไฟฟ้าดับทั้งเมืองและทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะถูกกลุ่มผู้ก่อการร้าย 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลอบซุ่มโจมตีสังหารเสียชีวิต 4 คนก่อนหน้านี้หนึ่งวัน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นที่อำเภอมายอ จังหวัดเดียวกัน เป็นเรื่องน่าอดสูยิ่งนัก
นายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะแก้ตัวได้สารพัดข้อแก้ตัว เช่น งานเขาเตรียมการไว้แล้ว หากเลื่อนไปก็จะทำให้เจ้าของสถานที่และบริษัทจัดงานขาดรายได้เสียหาย หรือว่าได้นัดแนะผู้หลักผู้ใหญ่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลไว้แล้ว หรือถ้าเลื่อนไปแล้วก็จะเข้าฤดูกาลเข้าพรรษา การดื่มของมึนเมาจะดูไม่เหมาะสมนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ แต่ไม่ได้ทำเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอสำแดงความเขลาเบาปัญญา ไร้ความรอบรู้และไหวพริบปฏิภาณ เช่น ครั้งล่าสุดประชุมเศรษฐกิจโลกครั้งที่ 21 ในช่วง 30 พ.ค-21 มิ.ย.ที่ผ่านมาเธอได้กล่าวสุนทรพจน์ พร้อมทั้งได้แสดงถึงระดับภูมิปัญญาของผู้นำชาติไทย เมื่อคำนวณจำนวนประชากรกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ว่ามีจำนวนเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลก
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอจึงยังไปร่วมงานสนุกสนานรื่นเริง เพื่อฉลองกับบรรดานักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล แต่ที่เป็นเรื่องน่าสมเพชที่สุด คือ การขึ้นเวทีร่วมกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และคนอื่น ร้องเพลงหมู่ “สุขกันเถอะเรา” จิตสำนึกของคนเหล่านี้หายไปไหน เพราะว่าทั้งหมดกำลังสนุกสนานบนความเศร้าโศกทุกข์ยากของครอบครัวทหารและประชาชนชาวปัตตานี
หากนางสาวยิ่งลักษณ์ ใช้ปัญญาแค่เพียงครึ่งหนึ่งของคนอายุ 45 ปี ก็สามารถที่คิดได้ว่ามันไม่เหมาะไม่สมควรและสามารถสั่งการให้ลดระดับงานฉลองเป็นการรับประทานอาหารร่วมกัน คุยกัน เพื่อยืนยันว่าการแสวงผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันยังคงมีต่อไป เพราะนั่นเป็นวัตถุประสงค์ของงานนั้นไม่ใช่หรือ และสามารถงดการร้องรำทำเพลง ความอื้อฉาว ความน่าสมเพชและความโง่เขลาเบาปัญญาของคนระดับผู้นำประเทศไทยก็คงไม่ปรากฏ
นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคนจัด EVENT หรือทำตามคนไร้ปัญญาของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายที่ให้มีรายการรื่นเริงร้องเพลง แต่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคนนี้ขาดไหวพริบปฏิภาณ ไร้การมีกาลเทศะ และไร้ซึ่งการสำแดงถึงความเป็นอารยะบุคคล
ในการบริหารประเทศของเธอนั้น คนไทยธรรมดาทั้งหลายและไม่จำเป็นต้องเป็นคนในสังกัด “สี” อะไร ก็คงได้สัมผัสความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารอุทกภัยของรัฐบาลนี้มาแล้ว
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่า เศรษฐกิจบ้านเมืองย่ำแย่เพราะสินค้าแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลอ้างโน่นอ้างนี่แล้วโยนให้เป็นเรื่องของน้ำท่วมและราคาน้ำมัน ซึ่งมันก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้มาตั้ง 10 กว่าปีมาแล้ว จนกระทั่งผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนพลังงานได้แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสินค้าราคาแพงได้ ไม่สามารถควบคุมกลไกราคาต้นทุนที่นอกเหนือจากราคาน้ำมันได้ ไม่สามารถจัดการกับผู้ประกอบการที่ขึ้นราคาสินค้าโดยพลการ เพราะนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะการโฆษณาชวนเชื่อโกหกเรื่องการขึ้นค่าแรงและค่าตอบแทนระหว่างการรณรงค์หาเสียง ได้เปิดทางให้มีการขึ้นราคาสินค้าไว้ก่อนแล้ว แต่ค่าแรงขั้นต่ำก็ยังเหมือนเดิม แต่ยังหน้าด้านโกหกประชาชนว่าจะให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557
สถานการณ์ที่สำคัญของประเทศได้แก่เหตุการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ มีคนเชื่อว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่มาแต่อดีต โดยไม่ต้องสาวไปไกล เพียงเอาแค่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ช่วงที่พี่ชายของตนเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ก็เพียงพอแล้ว
แทนที่จะเอาเวลาไปร้องเพลงสุขกันเถอะเรา นายกรัฐมนตรีควรเอาเวลาไปอ่าน ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเหตุการณ์ภาคใต้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา จากเอกสาร หนังสือ และรายงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปะทุเกิดขึ้น ขณะที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มกราคม 2547 คนร้ายได้ปล้นปืนจากค่ายทหารและเหตุการณ์กรือเซะในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2547 กลุ่มก่อการร้ายได้ทำการข่มขู่ที่จะทำร้ายพระสงฆ์และสามเณร เพื่อหวังจะให้เกิดเป็นสงครามศาสนาพุทธ – อิสลาม ทั้งยังทำลายพืชสวนของราษฎรไทยพุทธเสียหายเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังให้มีการอพยพทิ้งถิ่นฐาน
เมื่อเหตุการณ์ร้ายทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ คู่ไปกับเหตุการณ์ก่อการร้ายอิสลามสากลที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกกระทำการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้แนวร่วมก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พยายามที่จะยกระดับเหตุการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ให้เป็นแนวรบสงครามก่อการร้ายสากล และในวันที่ 28 เมษายน 2547 อุสตาสโช๊ะ หรืออุสตาสอิสมาเอล ระยะหลง แกนนำก่อการร้ายระดับอำเภอในพื้นที่จังหวัดยะลา นำเรื่องไสยศาสตร์และได้บิดเบือนคำสั่งสอนขององค์ศาสดาพระนบี โมฮัมหมัด มาใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงวัยรุ่นประมาณ 200 คน แยกย้ายกันโจมตีด่านตรวจ และสถานที่ราชการรวม 10 แห่ง ในเวลาใกล้เคียงกันตามแผน จึงถูกสังหารเสียชีวิต 108 คน ถูกจับได้ 8 คน
การปะทะกันด้วยกำลังเยาวชนมุสลิมแบบพลีชีพนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่รัฐบาลทักษิณ ได้ประกาศว่าโจรแยกดินแดนเป็นโจรกระจอก หน่วยงานของรัฐจึงลดระดับการเฝ้าระวัง และยุบ ศอ.บต.หรือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดภาคใต้เป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดมากของรัฐบาลทักษิณ เพราะศอ.บต.เป็นกลไกสำคัญยิ่งในการพัฒนา ป้องปรามและปราบปรามกลุ่มโจรแยกดินแดน
จากการสูญเสียชีวิตเยาวชน กลุ่มเบอร์ซาตู ออกประเทศเตือนนักท่องเที่ยวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และกลุ่มพูโลได้ออกสารประกาศประณามการสังหารเยาวชนอิสลามครั้งนั้น และได้เตือนคนไทยว่า “เราขอเตือนชาวสยามให้ทราบด้วยว่า ชีวิตของชาวมลายูปาตานีมีค่า ชาวสยามจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้พวกเราด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วและด้วยน้ำตาเช่นกัน”
นายกรัฐมนตรีได้เคยนำเอาบริบทเหตุการณ์รุนแรงในอดีตมาศึกษา และวิเคราะห์ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดพลังความคิดในการกำหนดนโยบายหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่ชาวไทยเห็นก็คือเป็นแค่หุ่นเชิด และไม่เคยสนใจที่จะเป็นผู้นำตัวจริง ที่สามารถแก้ไขและให้นโยบายการบริหารจัดการเหตุการณ์ภาคใต้ แต่เธอกลับโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นและมอบหมายให้คนอื่นไปกำหนดแนวทางปฏิบัติ จึงเกิดช่องว่างและขาดเอกภาพในการให้นโยบาย ดำเนินการ การกำกับดูแลและการควบคุมอันเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเธอเอง
เรื่องปัญหาและเหตุการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นเรื่องใหญ่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตายของชาติมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดน “โดยกลุ่มชนคนไทยนับถืออิสลาม แต่บัดนี้ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าคนไทย กลับเรียกตัวเองว่าชาวมลายูปาตานี” และเหตุการณ์คงไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ชาวบ้านทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ จะยังคงได้รับความเดือดร้อนถึงเสียชีวิตและทรัพย์สิน หากรัฐบาลยังไม่สามารถหาข้อยุติในการลดความรุนแรงลงได้
ที่กล่าวถึงการแบ่งแยกดินแดนนั้นชัดเจน เพราะว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2548 ทางการได้จับกุมนายอิสมาน อูเซ็ง ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ หรือโรงเรียนปอเนาะสอนศาสนาอิสลาม ได้พร้อมปืนพก 1 กระบอก และเขาได้ให้การว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายต่างๆ นั้น เป็นการบงการจากเครือข่าย BRN – COORDINATE ทั้งยังมีการกำหนดตัวผู้บริหารรัฐปัตตานี หากมีการแบ่งแยกดินแดนเป็นผลสำเร็จ เช่น นายสะแปอิง บาซอ ประธานกรรมการบริหาร และผู้จัดการโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายอดุลย์ มูณี ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ ราชธรรมวิทยามูลนิธิ จะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายแวยูโซ๊ะ แวดือ ราแม อดีตครูโรงเรียนนี้จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบัดนี้เกิดกลุ่มนักรบอิสลามเรียกตัวเองว่า RKK แต่เข้าใจว่ากลุ่ม BRN-COORDINATE อยู่เบื้องหลัง
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิเป็นโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนกว่า 5,000 คน ทำให้ครูในโรงเรียนนี้มีลูกศิษย์ลูกหามากนับแสนคนได้เลยทีเดียว และการกล่าวหาครูของโรงเรียนนี้ ทำให้นักเรียนต่อต้านรัฐ และคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
การเป็นผู้นำประเทศนั้นจะต้องสามารถแยกแยะปัญหาต่างๆ ได้ สามารถกำหนดความสำคัญและความเร่งด่วนได้ แต่ที่สำคัญยิ่งจะต้องมีความรอบรู้ในแต่ละปัญหาอย่างดี ด้วยข้อมูลที่ตนเองสามารถใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเองได้ว่าเรื่องไหนมีความถูกต้องมากที่สุด
ทุกวันนี้ประชาชนชาวไทยจะต้องอับอายขายขี้หน้า เกี่ยวกับอาการไร้ความรอบรู้ ความสะเพร่า ความขี้เกียจ และความหน้าด้านของผู้นำหญิงคนแรกของชาวไทย ซึ่งเธอไม่ใช่ตัวแทนสตรีไทย เช่น การปล่อยไก่เรียกผิดๆ แต่บ่อยหรือทุกครั้งที่เธอปาฐกถา เช่น ประเทศซิดนีย์ ประธานาธิบดีมาเลเซีย และอะไรอีกมากมายเป็นเรื่องน่าสมเพชของคนไทย
ถ้าเรายังมีผู้นำประเทศที่ขาดความรอบรู้ ขาดจิตสำนึกผู้นำ และทำตัวเป็นเพียงหุ่นให้พี่ชายเชิด หรือให้พรรคเพื่อไทยเชิด หายนะความล่มจมฉิบหายของประเทศชาตินี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
จึงอยากจะขอเตือนกลุ่มแสวงผลประโยชน์ร่วมและหากินกับโพล โดยเฉพาะโพลสถาบันหนึ่งที่จะสร้างคำถามนำให้ประชากรที่ถูกสำรวจลงความเห็นว่า “นายกรัฐมนตรีบริหารงานดี”
หากสถาบันโพลที่ว่านี้เป็นสถาบันการศึกษา และเชื่อว่าต้องสอนเรื่อง “ภาวะผู้นำ” จึงเกิดคำถามว่า “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำที่ดีหรือ เพราะเอาแค่ระดับความรอบรู้ พฤติกรรมเชิงผู้นำ การมีไหวพริบปฏิภาณ และการแสดงออกในเวทีการเมืองสากลของเธอแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอขาดพลังผู้นำอย่างแน่นอน
ฉะนั้นการขึ้นเวทีร้องเพลงสุขกันเถอะเรา ขณะที่ประชาชนทั้งจังหวัดปัตตานีเดือดร้อน และทหารเพิ่งเสียชีวิตไปถึง 4 คน เป็นเงาสะท้อนจิตใต้สำนึกของนายกรัฐมนตรีประเทศไทยได้อย่างดี
นายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะแก้ตัวได้สารพัดข้อแก้ตัว เช่น งานเขาเตรียมการไว้แล้ว หากเลื่อนไปก็จะทำให้เจ้าของสถานที่และบริษัทจัดงานขาดรายได้เสียหาย หรือว่าได้นัดแนะผู้หลักผู้ใหญ่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลไว้แล้ว หรือถ้าเลื่อนไปแล้วก็จะเข้าฤดูกาลเข้าพรรษา การดื่มของมึนเมาจะดูไม่เหมาะสมนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ แต่ไม่ได้ทำเป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอสำแดงความเขลาเบาปัญญา ไร้ความรอบรู้และไหวพริบปฏิภาณ เช่น ครั้งล่าสุดประชุมเศรษฐกิจโลกครั้งที่ 21 ในช่วง 30 พ.ค-21 มิ.ย.ที่ผ่านมาเธอได้กล่าวสุนทรพจน์ พร้อมทั้งได้แสดงถึงระดับภูมิปัญญาของผู้นำชาติไทย เมื่อคำนวณจำนวนประชากรกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ว่ามีจำนวนเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลก
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอจึงยังไปร่วมงานสนุกสนานรื่นเริง เพื่อฉลองกับบรรดานักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล แต่ที่เป็นเรื่องน่าสมเพชที่สุด คือ การขึ้นเวทีร่วมกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และคนอื่น ร้องเพลงหมู่ “สุขกันเถอะเรา” จิตสำนึกของคนเหล่านี้หายไปไหน เพราะว่าทั้งหมดกำลังสนุกสนานบนความเศร้าโศกทุกข์ยากของครอบครัวทหารและประชาชนชาวปัตตานี
หากนางสาวยิ่งลักษณ์ ใช้ปัญญาแค่เพียงครึ่งหนึ่งของคนอายุ 45 ปี ก็สามารถที่คิดได้ว่ามันไม่เหมาะไม่สมควรและสามารถสั่งการให้ลดระดับงานฉลองเป็นการรับประทานอาหารร่วมกัน คุยกัน เพื่อยืนยันว่าการแสวงผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันยังคงมีต่อไป เพราะนั่นเป็นวัตถุประสงค์ของงานนั้นไม่ใช่หรือ และสามารถงดการร้องรำทำเพลง ความอื้อฉาว ความน่าสมเพชและความโง่เขลาเบาปัญญาของคนระดับผู้นำประเทศไทยก็คงไม่ปรากฏ
นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคนจัด EVENT หรือทำตามคนไร้ปัญญาของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายที่ให้มีรายการรื่นเริงร้องเพลง แต่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคนนี้ขาดไหวพริบปฏิภาณ ไร้การมีกาลเทศะ และไร้ซึ่งการสำแดงถึงความเป็นอารยะบุคคล
ในการบริหารประเทศของเธอนั้น คนไทยธรรมดาทั้งหลายและไม่จำเป็นต้องเป็นคนในสังกัด “สี” อะไร ก็คงได้สัมผัสความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารอุทกภัยของรัฐบาลนี้มาแล้ว
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่า เศรษฐกิจบ้านเมืองย่ำแย่เพราะสินค้าแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลอ้างโน่นอ้างนี่แล้วโยนให้เป็นเรื่องของน้ำท่วมและราคาน้ำมัน ซึ่งมันก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้มาตั้ง 10 กว่าปีมาแล้ว จนกระทั่งผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนพลังงานได้แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสินค้าราคาแพงได้ ไม่สามารถควบคุมกลไกราคาต้นทุนที่นอกเหนือจากราคาน้ำมันได้ ไม่สามารถจัดการกับผู้ประกอบการที่ขึ้นราคาสินค้าโดยพลการ เพราะนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะการโฆษณาชวนเชื่อโกหกเรื่องการขึ้นค่าแรงและค่าตอบแทนระหว่างการรณรงค์หาเสียง ได้เปิดทางให้มีการขึ้นราคาสินค้าไว้ก่อนแล้ว แต่ค่าแรงขั้นต่ำก็ยังเหมือนเดิม แต่ยังหน้าด้านโกหกประชาชนว่าจะให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557
สถานการณ์ที่สำคัญของประเทศได้แก่เหตุการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ มีคนเชื่อว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่มาแต่อดีต โดยไม่ต้องสาวไปไกล เพียงเอาแค่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ช่วงที่พี่ชายของตนเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ก็เพียงพอแล้ว
แทนที่จะเอาเวลาไปร้องเพลงสุขกันเถอะเรา นายกรัฐมนตรีควรเอาเวลาไปอ่าน ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเหตุการณ์ภาคใต้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา จากเอกสาร หนังสือ และรายงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปะทุเกิดขึ้น ขณะที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มกราคม 2547 คนร้ายได้ปล้นปืนจากค่ายทหารและเหตุการณ์กรือเซะในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2547 กลุ่มก่อการร้ายได้ทำการข่มขู่ที่จะทำร้ายพระสงฆ์และสามเณร เพื่อหวังจะให้เกิดเป็นสงครามศาสนาพุทธ – อิสลาม ทั้งยังทำลายพืชสวนของราษฎรไทยพุทธเสียหายเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังให้มีการอพยพทิ้งถิ่นฐาน
เมื่อเหตุการณ์ร้ายทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ คู่ไปกับเหตุการณ์ก่อการร้ายอิสลามสากลที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกกระทำการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้แนวร่วมก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้พยายามที่จะยกระดับเหตุการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ให้เป็นแนวรบสงครามก่อการร้ายสากล และในวันที่ 28 เมษายน 2547 อุสตาสโช๊ะ หรืออุสตาสอิสมาเอล ระยะหลง แกนนำก่อการร้ายระดับอำเภอในพื้นที่จังหวัดยะลา นำเรื่องไสยศาสตร์และได้บิดเบือนคำสั่งสอนขององค์ศาสดาพระนบี โมฮัมหมัด มาใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงวัยรุ่นประมาณ 200 คน แยกย้ายกันโจมตีด่านตรวจ และสถานที่ราชการรวม 10 แห่ง ในเวลาใกล้เคียงกันตามแผน จึงถูกสังหารเสียชีวิต 108 คน ถูกจับได้ 8 คน
การปะทะกันด้วยกำลังเยาวชนมุสลิมแบบพลีชีพนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่รัฐบาลทักษิณ ได้ประกาศว่าโจรแยกดินแดนเป็นโจรกระจอก หน่วยงานของรัฐจึงลดระดับการเฝ้าระวัง และยุบ ศอ.บต.หรือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดภาคใต้เป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดมากของรัฐบาลทักษิณ เพราะศอ.บต.เป็นกลไกสำคัญยิ่งในการพัฒนา ป้องปรามและปราบปรามกลุ่มโจรแยกดินแดน
จากการสูญเสียชีวิตเยาวชน กลุ่มเบอร์ซาตู ออกประเทศเตือนนักท่องเที่ยวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และกลุ่มพูโลได้ออกสารประกาศประณามการสังหารเยาวชนอิสลามครั้งนั้น และได้เตือนคนไทยว่า “เราขอเตือนชาวสยามให้ทราบด้วยว่า ชีวิตของชาวมลายูปาตานีมีค่า ชาวสยามจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้พวกเราด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วและด้วยน้ำตาเช่นกัน”
นายกรัฐมนตรีได้เคยนำเอาบริบทเหตุการณ์รุนแรงในอดีตมาศึกษา และวิเคราะห์ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดพลังความคิดในการกำหนดนโยบายหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่ชาวไทยเห็นก็คือเป็นแค่หุ่นเชิด และไม่เคยสนใจที่จะเป็นผู้นำตัวจริง ที่สามารถแก้ไขและให้นโยบายการบริหารจัดการเหตุการณ์ภาคใต้ แต่เธอกลับโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นและมอบหมายให้คนอื่นไปกำหนดแนวทางปฏิบัติ จึงเกิดช่องว่างและขาดเอกภาพในการให้นโยบาย ดำเนินการ การกำกับดูแลและการควบคุมอันเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเธอเอง
เรื่องปัญหาและเหตุการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นเรื่องใหญ่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตายของชาติมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดน “โดยกลุ่มชนคนไทยนับถืออิสลาม แต่บัดนี้ไม่ยอมเรียกตัวเองว่าคนไทย กลับเรียกตัวเองว่าชาวมลายูปาตานี” และเหตุการณ์คงไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ชาวบ้านทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ จะยังคงได้รับความเดือดร้อนถึงเสียชีวิตและทรัพย์สิน หากรัฐบาลยังไม่สามารถหาข้อยุติในการลดความรุนแรงลงได้
ที่กล่าวถึงการแบ่งแยกดินแดนนั้นชัดเจน เพราะว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2548 ทางการได้จับกุมนายอิสมาน อูเซ็ง ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ หรือโรงเรียนปอเนาะสอนศาสนาอิสลาม ได้พร้อมปืนพก 1 กระบอก และเขาได้ให้การว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายต่างๆ นั้น เป็นการบงการจากเครือข่าย BRN – COORDINATE ทั้งยังมีการกำหนดตัวผู้บริหารรัฐปัตตานี หากมีการแบ่งแยกดินแดนเป็นผลสำเร็จ เช่น นายสะแปอิง บาซอ ประธานกรรมการบริหาร และผู้จัดการโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายอดุลย์ มูณี ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ ราชธรรมวิทยามูลนิธิ จะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และนายแวยูโซ๊ะ แวดือ ราแม อดีตครูโรงเรียนนี้จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบัดนี้เกิดกลุ่มนักรบอิสลามเรียกตัวเองว่า RKK แต่เข้าใจว่ากลุ่ม BRN-COORDINATE อยู่เบื้องหลัง
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิเป็นโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียนกว่า 5,000 คน ทำให้ครูในโรงเรียนนี้มีลูกศิษย์ลูกหามากนับแสนคนได้เลยทีเดียว และการกล่าวหาครูของโรงเรียนนี้ ทำให้นักเรียนต่อต้านรัฐ และคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
การเป็นผู้นำประเทศนั้นจะต้องสามารถแยกแยะปัญหาต่างๆ ได้ สามารถกำหนดความสำคัญและความเร่งด่วนได้ แต่ที่สำคัญยิ่งจะต้องมีความรอบรู้ในแต่ละปัญหาอย่างดี ด้วยข้อมูลที่ตนเองสามารถใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเองได้ว่าเรื่องไหนมีความถูกต้องมากที่สุด
ทุกวันนี้ประชาชนชาวไทยจะต้องอับอายขายขี้หน้า เกี่ยวกับอาการไร้ความรอบรู้ ความสะเพร่า ความขี้เกียจ และความหน้าด้านของผู้นำหญิงคนแรกของชาวไทย ซึ่งเธอไม่ใช่ตัวแทนสตรีไทย เช่น การปล่อยไก่เรียกผิดๆ แต่บ่อยหรือทุกครั้งที่เธอปาฐกถา เช่น ประเทศซิดนีย์ ประธานาธิบดีมาเลเซีย และอะไรอีกมากมายเป็นเรื่องน่าสมเพชของคนไทย
ถ้าเรายังมีผู้นำประเทศที่ขาดความรอบรู้ ขาดจิตสำนึกผู้นำ และทำตัวเป็นเพียงหุ่นให้พี่ชายเชิด หรือให้พรรคเพื่อไทยเชิด หายนะความล่มจมฉิบหายของประเทศชาตินี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
จึงอยากจะขอเตือนกลุ่มแสวงผลประโยชน์ร่วมและหากินกับโพล โดยเฉพาะโพลสถาบันหนึ่งที่จะสร้างคำถามนำให้ประชากรที่ถูกสำรวจลงความเห็นว่า “นายกรัฐมนตรีบริหารงานดี”
หากสถาบันโพลที่ว่านี้เป็นสถาบันการศึกษา และเชื่อว่าต้องสอนเรื่อง “ภาวะผู้นำ” จึงเกิดคำถามว่า “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำที่ดีหรือ เพราะเอาแค่ระดับความรอบรู้ พฤติกรรมเชิงผู้นำ การมีไหวพริบปฏิภาณ และการแสดงออกในเวทีการเมืองสากลของเธอแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอขาดพลังผู้นำอย่างแน่นอน
ฉะนั้นการขึ้นเวทีร้องเพลงสุขกันเถอะเรา ขณะที่ประชาชนทั้งจังหวัดปัตตานีเดือดร้อน และทหารเพิ่งเสียชีวิตไปถึง 4 คน เป็นเงาสะท้อนจิตใต้สำนึกของนายกรัฐมนตรีประเทศไทยได้อย่างดี