xs
xsm
sm
md
lg

LICENSE TO STEAL พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ.2514

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...

ระยะเวลาผ่านมา 41 ปีจากปี 2514 เราใช้และฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 5 ฉบับและกำลังหาทางฉีกฉบับปัจจุบันอีก 1 ฉบับ แต่หลักการสำคัญของพ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 เกี่ยวกับการให้สัมปทานในทรัพยากรปิโตรเลี่ยมที่เป็นไปเพื่อการส่งออกสถานเดียว (มาตรา 64) และทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันดิบในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่งสถานเดียว (มาตรา 57) ไม่เคยได้รับการทบทวนเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างยิ่ง

ระบอบประชาธิปไตยจะมีความหมายอะไรให้คนไทยต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิตกันรอบแล้วรอบเล่าในรอบ 41 ปีมานี้ หากไม่สามารถแม้แต่แก้ไขเปลี่ยนแปลง “ระบอบปิโตรธิปไตย” ของกลุ่มทุนต่างชาติได้ ?

สัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทยมีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ 24 เมษายน 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศเลย เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64 ว่า

"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่ารัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลี่ยมออกนอกราชอาณาจักร..."

นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว ในมาตรา 57 (1) และ (2) ว่าหากจะขายน้ำมันดิบภายในราชอาณาจักรก็ให้ขายในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่ง

"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร"

"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..."


กฎหมายฉบับนี้เขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกจริง ๆ เพราะจะมีกรณีเดียวที่การขายในราชอาณาจักรจะถูกลง ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามมาตรา 57(3) คือน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณ 10 เท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...

ขาหนึ่ง - แม้ประเทศไทยจะมีปิโตรเลี่ยมขุดได้เอง 47 % ของความต้องการใช้งานภายในประเทศ แต่เราก็ต้องบริโภคน้ำมันดิบในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่งทั้งหมด

อีกขาหนึ่ง - แม้เราจะมีโรงกลั่นน้ำมันผลิตน้ำมันสำเร็จรูปเกินความต้องการใช้ในประเทศจนต้องส่งออก แต่คนไทยผู้มีกรรมหนักกลับต้องบริโภคน้ำมันสำเร็จรูปนี้ในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องขนส่งจริง แพงกว่าที่โรงกลั่นขายในตลาดโลกเสียอีก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...

ประเทศไทยมีความสามารถในการจัดหาปิโตรเลี่ยมต่อวันได้ถึง 47 % ของความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นของประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ ถึง 12 % แต่คนไทยต้องใช้ปิโตรเลี่ยมในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่งเต็ม 100 ตามปรัชญาและหลักการของพ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 (มาตรา 64 และ 57) ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงด้านน้ำมันสำเร็จรูปอีก เมื่อโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศมีต้นทุนวัตถุดิบตามราคาตลาดโลก เวลาขายน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศเขาก็ขายในราคาตลาดโลกบวกค่าขนส่งทั้งที่ไม่ต้องขนส่ง

การมีทรัพยากรปิโตรเลี่ยมของประเทศไทยสูงถึงเกือบครึ่งหนึ่งของความต้องการใช้ภายในประเทศจึงไม่มีความหมายต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปซึ่งเป็นต้นทางของค่าครองชีพทั้งปวง

ถ้าจะยืนปรัชญาและหลักการอายุ 41 ปีนี้ต่อไป ก็ต้องมาถกกันอย่างซีเรียสถึงค่าตอบแทนที่ประเทศจะได้รับ ว่าที่ได้อยู่ 29 - 30 % ของมูลค่าที่ขุดขึ้นมาขายได้น่ะพอไหม

หรือควรจะเป็น 50, 60, 70 หรือ 80 %

หรือไม่ก็เก็บไว้ใช้ในอนาคต ไม่ต้องรีบขุดขึ้นมา ?

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมา 3 กลุ่มการเมืองในรอบห้าหกปีที่ผ่านมา คือพรรคคุณทักษิณ ชินวัตร, พรรคประชาธิปัตย์ และคณะรัฐประหารหรือจะเรียกว่ากลุ่มอำมาตย์ก็สุดแท้แต่ แต่ทุกพรรคทุกกลุ่มไม่ว่าจะด่าพ่อล่อแม่ขัดแย้งกันเรื่องอื่นอย่างไร นโยบายปิโตรเลี่ยมเดินเป็นเส้นตรง นอกจากจะไม่ขัดแย้งกันแล้ว ยังหนุนเสริมต่อยอดซึ่งกันและกันอีก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...

การเมืองไทยในระบบรัฐสภาเข้าใกล้ความเป็นระบบ 2 พรรคเข้าไปทุกที แต่พรรคการเมืองทั้ง 2 ขั้วนอกจากตัวบุคคลและวัฒนธรรมของสมาชิกพรรคแล้ว รากฐานนโยบายหาได้แตกต่างกันไม่ โดยเฉพาะนโยบายปิโตรเลี่ยม ประชาชนจึงไม่มีทางเลือก

ทั้ง ๆ ที่การปฏิรูปนโยบายปิโตรเลี่ยมสามารถทำเป็น Political Platform เสนอต่อประชาชนได้เลย

.....

คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา มีดำริจะจัดสัมมนาฟ้องประชาชนชำแหละพ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ผมลองเสนอชื่อหัวข้อสัมมนาตามหลักการที่เขียนไว้ตอนต้น และโพสต์ในหน้า FB ของผมอย่างต่อเนื่องว่า

"พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม : รัฐธรรมนูญตัวจริงของประเทศนี้ที่มั่นคงมากว่า 40 ปี"

คณะกรรมาธิการฯ รับในหลักการ แต่เห็นว่ายาวไป ผมเลยเสนอต่อว่าถ้าอย่างนั้นเอาสั้น ๆ ใหม่ว่า

"พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม : License to steal"

หรือไม่ก็

"พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม : License to rob"

อาจจะแรง แต่มันก็...ใช่เลย !

Steal 1 มาตรา 23 ขโมยทรัพยากรปิโตรเลี่ยมจากความเป็นสมบัติสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนไปเป็นของรัฐ !

Steal 2 มาตรา 64, 57 และ ฯลฯ รัฐดำเนินการโอนถ่ายกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลี่ยมที่ขุดได้ไปเป็นของทุนต่างชาติผู้รับสัมปทาน 30 - 50 ปีโดยประมาณ แล้วก็ให้เอกสิทธิ์เขาในการขายออกนอกประเทศทั้งหมด !!

ยังไม่มีบทสรุป และยังไม่มีกำหนดวันเวลาที่ชัดเจน แต่พี่ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตส.ว.และนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเสนอชื่อหัวข้อการจัดสัมมนาตามแนวคิดนี้ว่า...

“พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 : ใบอนุญาตโจรกรรมประเทศไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น