แบงก์ชาติลงพื้นที่สำรวจข้อมูลและความเห็นผู้ประกอบการไทยทุกประเภทธุรกิจและในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ระบุส่วนใหญ่ยังเป็นห่วงภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ แต่แบงก์ชาติเห็นว่าผู้ประกอบการไทยพัฒนาตัวเองได้ดี สนใจข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายทางการมากขึ้น ขณะที่ธนาคารโลกคาดจีดีพีไทยโตแค่ 4.5%
นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ลงพื้นที่ภาคสนาม เพื่อสำรวจและตรวจสอบข้อมูลที่ธปท.มีอยู่กับข้อมูลของผู้ประกอบการว่าสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในประเด็นต่างๆ โดยปรากฎว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นห่วงภาพรวมเศรษฐกิจของเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน ธปท.เห็นว่าผู้ประกอบการไทยเองก็มีการพัฒนาและปรับตัวรองรับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีทีเดียว
การสำรวจดังกล่าวยังพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสนใจแสดงความคิดเห็นกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ค่อนข้างดี ซึ่งแม้ผู้ประกอบการในบางพื้นที่จะอยู่ค่อนข้างห่างไกล แต่ก็มีความคิดเห็นและติดตามข่าวสารเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี ถิอเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ยังได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการต่อเศรษฐกิจไทย นโยบายภาครัฐ
และนโยบายธปท. ขณะเดียวกันเมื่อผู้ประกอบการระดับสูงของธปท.ลงพื้นที่ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการชี้แจงเหตุผลในการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ในปัจจุบันไปด้วย
สำหรับการสำรวจในปีนี้ ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการครอบคลุมหลายจังหวัดในทุกภูมิภาคทั้งจังหวัดขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการสำรวจที่ลงพื้นที่โดยตรงมาแล้ว 2 ครั้งที่ผ่านมา และรอบนี้เป็นครั้งที่ 3 ถือเป็นครั้งแรกที่มีการสำรวจพื้นที่ภาคกลาง อาทิ จังหวัดลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น อีกทั้งมีกลุ่มตัวอย่างที่มาจากผู้ประกอบการในหลายประเภทธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร การค้า อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนขนาดผู้ประกอบการก็มีการสำรวจตั้งแต่รายเล็ก กลาง และใหญ่ ทำให้ข้อมูลที่ได้รับกระจายไปยังการค้าและภาคเศรษฐกิจต่างๆ ได้ทั่วถึง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการครั้งนี้ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และประเมินผล เพื่อให้ได้ข้อมูลเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งนำข้อมูลที่ได้มาเสนอให้แก่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจและนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งบอร์ด กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 25 ก.ค.นี้
ส่วนกรณีที่ว่านายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาระบุว่ามีแผนจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม รวมไปประเด็นเศรษฐกิจต่างๆ นั้น นายทรงธรรม กล่าวว่า ธปท.ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่สามารถตอบชัดเจนได้ว่าจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างไร ซึ่งต้องติดตามดูในวันที่ 3 ส.ค.นี้ ธปท.จะมีการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยสำคัญ รวมถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทย
***เวิลด์แบงก์คาดจีดีพีไทยโตแค่ 4.5%
ในงานรสัมมนาเรื่อง คุยกับกูรูมองไทย มองโลกเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2555 จัดโดยศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส (ประจำประเทศไทย) ธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของไทยจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการฟื้นตัวจากน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเกือบ 100% แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือเศรษฐกิจโลกที่ยังซึมตัวอยู่จากปัญหาหนี้ในสหภาพยุโรป (อียู)
"คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ 4.5% และในปีหน้าจะฟื้นตัวดีขึ้นถึง 5% เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมาจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปเริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งต่อไปผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวช้า ดังนั้น ไทยต้องปรับตัวให้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคู่ค้าหลักของไทย ต่างมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ" น.ส.กิริฎากล่าว.
นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ลงพื้นที่ภาคสนาม เพื่อสำรวจและตรวจสอบข้อมูลที่ธปท.มีอยู่กับข้อมูลของผู้ประกอบการว่าสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในประเด็นต่างๆ โดยปรากฎว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นห่วงภาพรวมเศรษฐกิจของเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกัน ธปท.เห็นว่าผู้ประกอบการไทยเองก็มีการพัฒนาและปรับตัวรองรับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีทีเดียว
การสำรวจดังกล่าวยังพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสนใจแสดงความคิดเห็นกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ค่อนข้างดี ซึ่งแม้ผู้ประกอบการในบางพื้นที่จะอยู่ค่อนข้างห่างไกล แต่ก็มีความคิดเห็นและติดตามข่าวสารเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี ถิอเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ยังได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการต่อเศรษฐกิจไทย นโยบายภาครัฐ
และนโยบายธปท. ขณะเดียวกันเมื่อผู้ประกอบการระดับสูงของธปท.ลงพื้นที่ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการชี้แจงเหตุผลในการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ในปัจจุบันไปด้วย
สำหรับการสำรวจในปีนี้ ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการครอบคลุมหลายจังหวัดในทุกภูมิภาคทั้งจังหวัดขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการสำรวจที่ลงพื้นที่โดยตรงมาแล้ว 2 ครั้งที่ผ่านมา และรอบนี้เป็นครั้งที่ 3 ถือเป็นครั้งแรกที่มีการสำรวจพื้นที่ภาคกลาง อาทิ จังหวัดลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น อีกทั้งมีกลุ่มตัวอย่างที่มาจากผู้ประกอบการในหลายประเภทธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร การค้า อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนขนาดผู้ประกอบการก็มีการสำรวจตั้งแต่รายเล็ก กลาง และใหญ่ ทำให้ข้อมูลที่ได้รับกระจายไปยังการค้าและภาคเศรษฐกิจต่างๆ ได้ทั่วถึง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการครั้งนี้ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และประเมินผล เพื่อให้ได้ข้อมูลเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งนำข้อมูลที่ได้มาเสนอให้แก่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจและนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งบอร์ด กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 25 ก.ค.นี้
ส่วนกรณีที่ว่านายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาระบุว่ามีแผนจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม รวมไปประเด็นเศรษฐกิจต่างๆ นั้น นายทรงธรรม กล่าวว่า ธปท.ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่สามารถตอบชัดเจนได้ว่าจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างไร ซึ่งต้องติดตามดูในวันที่ 3 ส.ค.นี้ ธปท.จะมีการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทยสำคัญ รวมถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทย
***เวิลด์แบงก์คาดจีดีพีไทยโตแค่ 4.5%
ในงานรสัมมนาเรื่อง คุยกับกูรูมองไทย มองโลกเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2555 จัดโดยศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส (ประจำประเทศไทย) ธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของไทยจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการฟื้นตัวจากน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเกือบ 100% แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือเศรษฐกิจโลกที่ยังซึมตัวอยู่จากปัญหาหนี้ในสหภาพยุโรป (อียู)
"คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ 4.5% และในปีหน้าจะฟื้นตัวดีขึ้นถึง 5% เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมาจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปเริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งต่อไปผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวช้า ดังนั้น ไทยต้องปรับตัวให้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคู่ค้าหลักของไทย ต่างมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ" น.ส.กิริฎากล่าว.