ธงไท เทอดอิศรา
สำนักคิดอิสระไท
ศุกร์ที่ 13 นับเป็นวันที่ฝรั่งมังค่าถือนักหนาว่า เป็นวันอัปมงคล จนมีคนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลอกหลอนต่อๆ กันมา จนมาถึงวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคมนี้ จะมีใครฝันหวานถึงสถานการณ์สงครามกลางเมืองครั้งใหม่ เป็นสงครามระหว่างสี เป็นสงครามปรองดอง? ของสังคมไทย
ภาพของชายชุดเขียว หมวกดาวแดงขอบเหลือง ท่วงท่าทะมัดทะแมงแม้แต่ละคนเห็นชัดในร่องรอยกร้านโลก กร้านชีวิตบนใบหน้า แต่แววตายังคงมุ่งมั่นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ได้นำ “ธงแดง” ที่เคยแรงฤทธาโบกสะบัดทายท้าอำนาจรัฐปฏิกิริยาเหนือ ภูพาน ภูซาง ภูวัว ดงมูล ดงพระเจ้า แม้ภูสระดอกบัว ที่อาจมีสีแดงหลายเฉดสีคลุกเคล้าอยู่ นำมาปักไว้ในเมืองหลวง ณ ศูนย์กลางของหนึ่งในอำนาจรัฐ คือ ศาลรัฐธรรนูญ พร้อมคำประกาศจุดยืนในการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ และเหนืออื่นใดคือ พร้อมที่จะปกป้องสถาบันสูงสุดอย่างเด็ดเดี่ยว
สวนทางอย่างเต็มเหนี่ยวกับภาพของ “สีแดง” ที่ถูกนำมาใช้ในสัญลักษณ์ของขบวนการทางการเมืองที่มีรี้พลที่เรียกตนเองว่า “ไพร่” และมีทั้งวาทกรรม และปฏิบัติการจริงอันเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปในการไล่ล่า “อำมาตย์” อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน
จากสภาพการทางสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคุ้นชิน และเริ่มเฉยชากับ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสีแดง-เหลือง ที่มีมาอย่างยาวนานใกล้จะครบรอบทศวรรษโดยไม่ขยับหรือขับคลื่อน ผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไปได้ แม้จะใช้หลักการของวิธีคิดแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาชี้นำอย่างไรก็ตาม
มาวันนี้ เมื่อเห็นสีเดียวกัน และเป็นกลุ่มขบวนใหม่ที่สังคมไม่ค่อยรับรู้ หรือ รู้จักมักคุ้นมาก่อน ย้อนทิศเหมือนย้อนเวลาไปนานสามสิบกว่าปี เพื่อประกาศฟื้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และจัดตั้งกองทัพใหม่ ในชื่อเรียกขานว่า “กองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ที่มีสร้อยต่อท้ายในคำประกาศที่อุดรธานี ว่า ขอให้นักรบ ทปท.ที่กระจัดกระจายกันไป ให้ไปรายงานตัว กลับเข้ากรม กองโดยด่วน!
จนเป็นที่ตกใจทั้งกับหน่วยข่าวฝ่ายความมั่นคงทั้งหลาย ที่ต้องเช็กข่าวกันวุ่นวายอยู่พักใหญ่ รวมทั้งเจ้าตัว คือ นักรบกองทัพปลดแอกทั้งหลาย ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ และกำลังทำสงครามกับชีวิตความเป็นอยู่ หาอยู่ หากิน อย่างเข้มข้นนั้น ก็พากันไถ่ถามว่า จะไปรายงานตัวที่กรมกองตรงไหน (ว่ะ?) เพราะหลายแห่งแหล่งที่นั้น ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีรีสอร์ตหรูอยู่เต็มไปหมด
แต่อย่างไรก็ตาม สมญานามของ “สหาย” อาทิ สหายพิชิต สหายชัยรบ สหายพนม สหายมลายู สหายชลิต สหายอุทิศ สหายเกื้อ รวมทั้ง สหายปรีชา 505 ที่ล้วนมีร่องรอยอยู่ในประวัติศาสตร์อันเป็นตำนานหน้าหนึ่งของการต่อสู้ในช่วงสงครามประชาชนเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ทั้งในฐานะ “จัดตั้ง” ระดับภาค (อีสานเหนือ) ระดับจังหวัด (กจ.555/กจ.666) รวมทั้งผู้บัญชาการกองกำลังรบกองทัพปลดแอกเขตงาน ภูพาน และภูซาง และเขตงาน 11 อีสานใต้ (ศรีสะเกษ) ซึ่งแม้จะดูแก่เฒ่าไปมาก แต่บทบาทในอดีตของพวกเขาเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นตัวจริง ในสมรภูมิสงครามประชาชนครั้งเก่าก่อน
ซึ่งอย่างน้อยก็ทำเอา “สีแดง” วัยกำดัดที่เคยคึกคะนองกับการใช้กำลังมวลชนยึดครองเมืองกรุงมาก่อน ทั้งเคยส่งมวลชนที่นำโดย อดีตนักร้อง และอดีตตลกมาปิดล้อม กดดันศาลรัฐธรรมนูญแห่งหนี้ เมื่อปีก่อนปีกลายนี้เอง ต้องชะงักและประกาศไม่ให้พลพรรคเสื้อแดงไปเพ่นพ่านหน้าศาลรัฐธรรมนูญเด็ดขาดในช่วงระยะนั้น แล้วให้ไปชุมนุม “ตั้งหลัก” กันที่ห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าวแทน
แม้สภาพการณ์ในช่วงต้นซึ่งถือเป็นยกแรกของการเผชิญหน้าครั้งใหม่ของคู่ความขัดแย้งระหว่างสี ที่เคยเป็นคู่สีที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็น แดง-เหลือง แดง-ฟ้า แดง-น้ำเงิน แดง-ชมพู หรือ แดง-สลิ่มหรือเสื้อหลากสี โดยมีไอ้โม่งในชุดดำคอยทิ่มตำฝ่ายตรงข้ามสีแดงด้วยความรุนแรงอยู่ด้วยก็ตาม จะดูเหมือน “แดงละอ่อน” จะดูเพลี่ยงพล้ำ จากท่าที “แหยงๆ” แดงรุ่นพ่อ รุ่นลุง ที่ใช้ความเก๋าในเชิงการทหารเก่าเข้าปฏิบัติการจนลุล่วงภารกิจด้วยดี เป็นการฝากรอยนักเลงโบราณไว้จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วเมือง สั่งสมความแค้นไว้ในหัวจิตหัวใจของแดงรุ่นลูกอย่าง ตู่-เต้น ขุนพลใหญ่ที่ใช้ลิ่วล้อในพื้นที่เช็กข่าวประเมินกำลังกันให้วุ่น
แต่แล้วชะตากรรมของประเทศนี้ ก็ลิขิตไว้ให้วันศุกร์ที่ 13 กรกกาคม ศกนี้ เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำพิพากษาที่จะชี้ชะตาการเมืองไทยครั้งใหญ่ เป็นจุดหักเลี้ยวแบบยูเทิร์นสำหรับขบวนทัพของระบอบทักษิณ หรือกลุ่มทุนสามานย์ (คำเรียกขานจากฝ่ายตรงข้าม) กับการเป็นจุดคานงัดที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ของขบวนทัพของมหาอำมาตย์ หรือกลุ่มศักดินาล้าหลัง (คำเรียกขานจากฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน) ที่ต่างฝ่ายก็ตั้งท่าทีจะเทกระจาดไพร่พลของตนลงสู่ท้องถนนอย่างเต็มกำลัง เสื้อแดงประกาศระดมกว่าสามแสนคนพร้อมกรีธาทัพขั้นแตกหัก ขณะที่ ทปป.รอ. หรือกองทัพปลดแอกรักษาพระองค์ ก็พร้อมนำพลชูธงแดงพร้อมดาวแดงขอบเหลือง (ทปท.) เป็นหัวขบวนแถวทัพของมวลชนอีกฟากฝั่งที่พร้อมปกป้องสถาบันฯ ไม่ว่าจะเป็นมวลชนของพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบันฯ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ฯลฯ
สัญญาณอันตรายปรากฏในหลายพื้นที่ของการสื่อสาร ส่งข่าวเตรียมความคิด ปลุกระดมคนในขบวนของตน ดังเช่น บางกระทู้ในเฟซบุ๊กของคอลัมนิสต์เสื้อแดงคนหนึ่ง ประกาศชัดเจนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ว่าถึงเวลาแล้วที่.. “ใครมีมีด เตรียมมีดมา ใครมีปืน เตรียมปืนมา...” อันเป็นบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เพราะหากการเผชิญหน้ากันของมวลชนที่ถูกบ่มความรู้สึกให้ขุ่นคลักเช่นนี้ ก็ยากที่แกนนำจะควบคุมไม่ให้การชุมนุมโดยสงบกลายเป็นฝูงชนที่บ้าคลั่งได้ แล้วภาพการประหัตประหารของคนไทยกันเองก็อาจบังเกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า CHA-OS (เค-ออส) ตามทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือสิ่งที่ ยุค ศรีอาริยะ เรียกว่า “กาลกลียุค” ก็เป็นได้
แม้ เหมา เจ๋อตง จะกล่าวไว้ว่า เมื่อการเมืองได้คลี่คลายไปจนถึงจุดที่มิอาจรุดหน้าได้ ก็จะระเบิดเป็นสงครามขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคทางการเมือง (ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ ; พฤษภาคม 1938) หรือคำพูดของ เฟรชดริก เองเกลส์ ที่ถูกกล่าวอ้างถึงโดย วี.ไอ.เลนิน ในงานนิพนธ์ รัฐกับการปฏิวัติ (1917) จะกล่าวว่า “ความรุนแรงเป็นเครื่องมือที่การเคลื่อนไหวทางสังคมใช้สำหรับเบิกทางให้แก่ตนเอง และทลายรูปแบบทางการเมืองที่ตายซากแข็งทื่อ..” ก็ตาม
แต่ผู้ผ่านสงครามย่อมรังเกียจสงคราม ด้วยภาพซากศพ ไม่ว่าฝ่ายเขาหรือเรา ความสูญเสียที่คงซ้ำซากอันจองจำพ่อ แม่ ญาติพี่น้องไว้ในความทุกข์ตรมตราบจนชีพวาย เราจึงทั้งปฏิเสธสงครามความรุนแรงทั้งในทางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่หวังมุ่งเอาชนะคะคานกันในทางการเมือง หรือการแสวงอำนาจ หรือผลประโยชน์ใดๆ แล้วไสช้างเข้าใส่กัน นำพลรบไพร่ราบเข้าประหัตประหารกันอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เหมือน เบี้ยบนกระดาน ที่จะใช้นับจำนวนศพเพียงเพื่อไปประจานทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น รวมทั้งการพยายามลีกเลี่ยงการเดินเข้าสู่สภาวะ หรือเงื่อนไขที่แกนนำรู้ดีว่าอาจจะนำไปสู่สภาวะสงครามความรุนแรง ที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียที่คาดการณ์ได้ ซึ่งหมายถึงมือท่านย่อมเปื้อนเลือดผู้บริสุทธ์เทียบเท่าผู้เหนี่ยวไกสังหาร หรือผู้สั่งการ
ยิ่งหากจบด้วยคำถามที่ว่า สงครามนี้ของใคร? ท่านเป็นใคร? แล้วจะเดินเข้าสู่สงครามที่อาจต้องจ่ายด้วยชีวิต การบาดเจ็บพิกลพิการเช่นนั้น เพื่อสิ่งใด? เพื่อใคร? หากท่านตอบตัวเอง ตอบคนที่ท่านรัก ลูก เมีย พ่อ แม่..ได้ แล้วท่านยังมั่นใจ ก็จงเชิดหน้าเดินเข้าสู่สมรภูมินี้เถิด...
ผมอาจช่วยได้เพียงรอสงครามนี้จบ สายฝนชะล้างคราบเลือดในสมรภูมิจนสิ้นแล้วจึงค่อยลงไปช่วยฝังศพเพื่อนและสวดแผ่เมตตาให้เพื่อนจงไปสู่สุคติเถิด....ให้เพื่อนไปรอผมที่ภพหน้า..
รอจนกว่าสงครามของผมจะมาถึง!
สำนักคิดอิสระไท
ศุกร์ที่ 13 นับเป็นวันที่ฝรั่งมังค่าถือนักหนาว่า เป็นวันอัปมงคล จนมีคนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลอกหลอนต่อๆ กันมา จนมาถึงวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคมนี้ จะมีใครฝันหวานถึงสถานการณ์สงครามกลางเมืองครั้งใหม่ เป็นสงครามระหว่างสี เป็นสงครามปรองดอง? ของสังคมไทย
ภาพของชายชุดเขียว หมวกดาวแดงขอบเหลือง ท่วงท่าทะมัดทะแมงแม้แต่ละคนเห็นชัดในร่องรอยกร้านโลก กร้านชีวิตบนใบหน้า แต่แววตายังคงมุ่งมั่นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ได้นำ “ธงแดง” ที่เคยแรงฤทธาโบกสะบัดทายท้าอำนาจรัฐปฏิกิริยาเหนือ ภูพาน ภูซาง ภูวัว ดงมูล ดงพระเจ้า แม้ภูสระดอกบัว ที่อาจมีสีแดงหลายเฉดสีคลุกเคล้าอยู่ นำมาปักไว้ในเมืองหลวง ณ ศูนย์กลางของหนึ่งในอำนาจรัฐ คือ ศาลรัฐธรรนูญ พร้อมคำประกาศจุดยืนในการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ และเหนืออื่นใดคือ พร้อมที่จะปกป้องสถาบันสูงสุดอย่างเด็ดเดี่ยว
สวนทางอย่างเต็มเหนี่ยวกับภาพของ “สีแดง” ที่ถูกนำมาใช้ในสัญลักษณ์ของขบวนการทางการเมืองที่มีรี้พลที่เรียกตนเองว่า “ไพร่” และมีทั้งวาทกรรม และปฏิบัติการจริงอันเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปในการไล่ล่า “อำมาตย์” อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน
จากสภาพการทางสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคุ้นชิน และเริ่มเฉยชากับ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสีแดง-เหลือง ที่มีมาอย่างยาวนานใกล้จะครบรอบทศวรรษโดยไม่ขยับหรือขับคลื่อน ผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไปได้ แม้จะใช้หลักการของวิธีคิดแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาชี้นำอย่างไรก็ตาม
มาวันนี้ เมื่อเห็นสีเดียวกัน และเป็นกลุ่มขบวนใหม่ที่สังคมไม่ค่อยรับรู้ หรือ รู้จักมักคุ้นมาก่อน ย้อนทิศเหมือนย้อนเวลาไปนานสามสิบกว่าปี เพื่อประกาศฟื้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และจัดตั้งกองทัพใหม่ ในชื่อเรียกขานว่า “กองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” ที่มีสร้อยต่อท้ายในคำประกาศที่อุดรธานี ว่า ขอให้นักรบ ทปท.ที่กระจัดกระจายกันไป ให้ไปรายงานตัว กลับเข้ากรม กองโดยด่วน!
จนเป็นที่ตกใจทั้งกับหน่วยข่าวฝ่ายความมั่นคงทั้งหลาย ที่ต้องเช็กข่าวกันวุ่นวายอยู่พักใหญ่ รวมทั้งเจ้าตัว คือ นักรบกองทัพปลดแอกทั้งหลาย ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ และกำลังทำสงครามกับชีวิตความเป็นอยู่ หาอยู่ หากิน อย่างเข้มข้นนั้น ก็พากันไถ่ถามว่า จะไปรายงานตัวที่กรมกองตรงไหน (ว่ะ?) เพราะหลายแห่งแหล่งที่นั้น ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีรีสอร์ตหรูอยู่เต็มไปหมด
แต่อย่างไรก็ตาม สมญานามของ “สหาย” อาทิ สหายพิชิต สหายชัยรบ สหายพนม สหายมลายู สหายชลิต สหายอุทิศ สหายเกื้อ รวมทั้ง สหายปรีชา 505 ที่ล้วนมีร่องรอยอยู่ในประวัติศาสตร์อันเป็นตำนานหน้าหนึ่งของการต่อสู้ในช่วงสงครามประชาชนเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ทั้งในฐานะ “จัดตั้ง” ระดับภาค (อีสานเหนือ) ระดับจังหวัด (กจ.555/กจ.666) รวมทั้งผู้บัญชาการกองกำลังรบกองทัพปลดแอกเขตงาน ภูพาน และภูซาง และเขตงาน 11 อีสานใต้ (ศรีสะเกษ) ซึ่งแม้จะดูแก่เฒ่าไปมาก แต่บทบาทในอดีตของพวกเขาเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นตัวจริง ในสมรภูมิสงครามประชาชนครั้งเก่าก่อน
ซึ่งอย่างน้อยก็ทำเอา “สีแดง” วัยกำดัดที่เคยคึกคะนองกับการใช้กำลังมวลชนยึดครองเมืองกรุงมาก่อน ทั้งเคยส่งมวลชนที่นำโดย อดีตนักร้อง และอดีตตลกมาปิดล้อม กดดันศาลรัฐธรรมนูญแห่งหนี้ เมื่อปีก่อนปีกลายนี้เอง ต้องชะงักและประกาศไม่ให้พลพรรคเสื้อแดงไปเพ่นพ่านหน้าศาลรัฐธรรมนูญเด็ดขาดในช่วงระยะนั้น แล้วให้ไปชุมนุม “ตั้งหลัก” กันที่ห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าวแทน
แม้สภาพการณ์ในช่วงต้นซึ่งถือเป็นยกแรกของการเผชิญหน้าครั้งใหม่ของคู่ความขัดแย้งระหว่างสี ที่เคยเป็นคู่สีที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็น แดง-เหลือง แดง-ฟ้า แดง-น้ำเงิน แดง-ชมพู หรือ แดง-สลิ่มหรือเสื้อหลากสี โดยมีไอ้โม่งในชุดดำคอยทิ่มตำฝ่ายตรงข้ามสีแดงด้วยความรุนแรงอยู่ด้วยก็ตาม จะดูเหมือน “แดงละอ่อน” จะดูเพลี่ยงพล้ำ จากท่าที “แหยงๆ” แดงรุ่นพ่อ รุ่นลุง ที่ใช้ความเก๋าในเชิงการทหารเก่าเข้าปฏิบัติการจนลุล่วงภารกิจด้วยดี เป็นการฝากรอยนักเลงโบราณไว้จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วเมือง สั่งสมความแค้นไว้ในหัวจิตหัวใจของแดงรุ่นลูกอย่าง ตู่-เต้น ขุนพลใหญ่ที่ใช้ลิ่วล้อในพื้นที่เช็กข่าวประเมินกำลังกันให้วุ่น
แต่แล้วชะตากรรมของประเทศนี้ ก็ลิขิตไว้ให้วันศุกร์ที่ 13 กรกกาคม ศกนี้ เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำพิพากษาที่จะชี้ชะตาการเมืองไทยครั้งใหญ่ เป็นจุดหักเลี้ยวแบบยูเทิร์นสำหรับขบวนทัพของระบอบทักษิณ หรือกลุ่มทุนสามานย์ (คำเรียกขานจากฝ่ายตรงข้าม) กับการเป็นจุดคานงัดที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ของขบวนทัพของมหาอำมาตย์ หรือกลุ่มศักดินาล้าหลัง (คำเรียกขานจากฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน) ที่ต่างฝ่ายก็ตั้งท่าทีจะเทกระจาดไพร่พลของตนลงสู่ท้องถนนอย่างเต็มกำลัง เสื้อแดงประกาศระดมกว่าสามแสนคนพร้อมกรีธาทัพขั้นแตกหัก ขณะที่ ทปป.รอ. หรือกองทัพปลดแอกรักษาพระองค์ ก็พร้อมนำพลชูธงแดงพร้อมดาวแดงขอบเหลือง (ทปท.) เป็นหัวขบวนแถวทัพของมวลชนอีกฟากฝั่งที่พร้อมปกป้องสถาบันฯ ไม่ว่าจะเป็นมวลชนของพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบันฯ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ฯลฯ
สัญญาณอันตรายปรากฏในหลายพื้นที่ของการสื่อสาร ส่งข่าวเตรียมความคิด ปลุกระดมคนในขบวนของตน ดังเช่น บางกระทู้ในเฟซบุ๊กของคอลัมนิสต์เสื้อแดงคนหนึ่ง ประกาศชัดเจนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ว่าถึงเวลาแล้วที่.. “ใครมีมีด เตรียมมีดมา ใครมีปืน เตรียมปืนมา...” อันเป็นบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เพราะหากการเผชิญหน้ากันของมวลชนที่ถูกบ่มความรู้สึกให้ขุ่นคลักเช่นนี้ ก็ยากที่แกนนำจะควบคุมไม่ให้การชุมนุมโดยสงบกลายเป็นฝูงชนที่บ้าคลั่งได้ แล้วภาพการประหัตประหารของคนไทยกันเองก็อาจบังเกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า CHA-OS (เค-ออส) ตามทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือสิ่งที่ ยุค ศรีอาริยะ เรียกว่า “กาลกลียุค” ก็เป็นได้
แม้ เหมา เจ๋อตง จะกล่าวไว้ว่า เมื่อการเมืองได้คลี่คลายไปจนถึงจุดที่มิอาจรุดหน้าได้ ก็จะระเบิดเป็นสงครามขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคทางการเมือง (ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ ; พฤษภาคม 1938) หรือคำพูดของ เฟรชดริก เองเกลส์ ที่ถูกกล่าวอ้างถึงโดย วี.ไอ.เลนิน ในงานนิพนธ์ รัฐกับการปฏิวัติ (1917) จะกล่าวว่า “ความรุนแรงเป็นเครื่องมือที่การเคลื่อนไหวทางสังคมใช้สำหรับเบิกทางให้แก่ตนเอง และทลายรูปแบบทางการเมืองที่ตายซากแข็งทื่อ..” ก็ตาม
แต่ผู้ผ่านสงครามย่อมรังเกียจสงคราม ด้วยภาพซากศพ ไม่ว่าฝ่ายเขาหรือเรา ความสูญเสียที่คงซ้ำซากอันจองจำพ่อ แม่ ญาติพี่น้องไว้ในความทุกข์ตรมตราบจนชีพวาย เราจึงทั้งปฏิเสธสงครามความรุนแรงทั้งในทางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่หวังมุ่งเอาชนะคะคานกันในทางการเมือง หรือการแสวงอำนาจ หรือผลประโยชน์ใดๆ แล้วไสช้างเข้าใส่กัน นำพลรบไพร่ราบเข้าประหัตประหารกันอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เหมือน เบี้ยบนกระดาน ที่จะใช้นับจำนวนศพเพียงเพื่อไปประจานทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น รวมทั้งการพยายามลีกเลี่ยงการเดินเข้าสู่สภาวะ หรือเงื่อนไขที่แกนนำรู้ดีว่าอาจจะนำไปสู่สภาวะสงครามความรุนแรง ที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียที่คาดการณ์ได้ ซึ่งหมายถึงมือท่านย่อมเปื้อนเลือดผู้บริสุทธ์เทียบเท่าผู้เหนี่ยวไกสังหาร หรือผู้สั่งการ
ยิ่งหากจบด้วยคำถามที่ว่า สงครามนี้ของใคร? ท่านเป็นใคร? แล้วจะเดินเข้าสู่สงครามที่อาจต้องจ่ายด้วยชีวิต การบาดเจ็บพิกลพิการเช่นนั้น เพื่อสิ่งใด? เพื่อใคร? หากท่านตอบตัวเอง ตอบคนที่ท่านรัก ลูก เมีย พ่อ แม่..ได้ แล้วท่านยังมั่นใจ ก็จงเชิดหน้าเดินเข้าสู่สมรภูมินี้เถิด...
ผมอาจช่วยได้เพียงรอสงครามนี้จบ สายฝนชะล้างคราบเลือดในสมรภูมิจนสิ้นแล้วจึงค่อยลงไปช่วยฝังศพเพื่อนและสวดแผ่เมตตาให้เพื่อนจงไปสู่สุคติเถิด....ให้เพื่อนไปรอผมที่ภพหน้า..
รอจนกว่าสงครามของผมจะมาถึง!