วานนี้(3 ก.ค.55) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังเกิดเหตุคนเสื้อแดงปทุมธานี เดินทางไปก่อกวนการจัดงาน “ราตรีสีฟ้า” ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต โดยในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ทำการปราศรัยได้มีคนเสื้อแดงประมาณ 200 คน พยายามบุกเข้าไปในอาคาร และมีการปาขวดน้ำใส่จนเกือบเกิดเหตุปะทะกับกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา และนายอภิสิทธิ์ ต้องเปลี่ยนรถใช้ประตูด้านหลังเป็นเส้นทางกลับ กทม. เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้านั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้สำรวจรถนายอภิสิทธิ์ พบว่าแม้รถยนต์ของนายอภิสิทธิ์จะสามารถกันกระสุนได้ แต่พบว่ามีรอยกรีดลึกหลายแผลบริเวณประตูหน้าด้านขวา จึงสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับคำอธิบายว่า เป็นรอยที่เกิดจากการที่คนเสื้อแดงไปชุมนุมปิดล้อมงานราตรีสีฟ้า ที่ปทุมธานี เนื่องจากตำรวจปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาถึงบริเวณหน้าประตูซึ่งรถของนายอภิสิทธิ์จอดอยู่ ทั้ง ๆ ที่มีการประสานงานไปก่อนแล้วว่า ขอให้ตำรวจช่วยกันคนเสื้อแดงไว้ที่ถนนอีกฟากหนึ่งเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า หรือ มีการทำลายทรัพย์สิน แต่ตำรวจกลับปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมถึงหน้าประตูโรงเรียน ทำให้ไม่สามารถนำรถไปรับนายอภิสิทธิ์ออกจากสถานที่ดังกล่าวได้
ผู้เกี่ยวข้องจึงหารือกับ นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อวางแผนในเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้กับนายอภิสิทธิ์ ที่จะต้องเดินทางกลับ กทม. หลังปราศรัยเสร็จสิ้น โดยใช้วิธีการเปลี่ยนรถคันใหม่ ให้รถส.ส.ในพื้นที่นำทาง 1 คัน จากนั้นนำนายอภิสิทธิ์ ออกทางประตูด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนเสื้อแดง
“ทั้งหมดพวกผมต้องทำกันเอง คิดกันเอง เราพึ่งตำรวจในพื้นที่ไม่ได้เลย ที่ข่าวออกไปว่าตำรวจเป็นคนคุ้มกันออกทางประตูหลังนั้นคลาดเคลื่อน ความจริงคือ นอกจากตำรวจไม่ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แล้ว ผมยังเชื่อว่าเขาปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาประชิดประตูโรงเรียนด้วย ทั้ง ๆ ที่มีการประสานให้กันอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนแล้ว แต่ก็ไม่มีผลอะไรเลย” แหล่งข่าวกล่าว
อีกด้าน นายอภิสิทธิ์ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคโดยภายหลังการประชุม นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาอนุมัติแผนงานจัดสัมมนาโครงการรวมพลังออกแบบประเทศไทย 10 รากฐาน แบ่งเป็น 1.สังคมอบอุ่นปรองดอง จะจัดที่ จ.สระบุรี 2.สังคมเรียนรู้ จัดที่ภาคอีสาน 3.สังคมสวัสดิการ จัดที่ จ.สงขลา และ 4.สังคมเป็นธรรมจัดที่ จ.เชียงใหม่
2.ฐานรากเศรษฐกิจ คือ 1.เกษตรเข้มแข็ง จัดที่ จ.พิษณุโลก 2.นวัตกรรม จัดที่ จ.ภูเก็ต 3.ประเทศไทยสีเขียว จัดที่ จ.นครสวรรค์ 3.ฐานรากการเมือง คือ 1 การเมืองเสรี จะจัดในจังหวัดภาคกลาง 2.รัฐโปร่งใส จัดที่ กทม. และ 4.ฐานรากประเทศไทย คือการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน จะจัดในจังหวัดภาคอีสานที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ทั้งนี้ การจัดสัมมนาทั้ง 10 กลุ่ม จะจัดเสร็จสิ้นภายในเดือน ส.ค.นี้ และนายอภิสิทธิ์ จะไปร่วมด้วยตัวเองทุกกลุ่ม ซึ่งจะมีการจัดเจ้าหน้าที่และขบวนรถเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับหัวหน้าพรรคด้วย หลังจากเกิดเหตุการณ์ถูกคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี บุกไล่มาแล้ว
นายชวนนท์ แถลงอีกว่า ได้มีการมอบหมายให้รองหัวหน้าพรรคทุกภาคกำชับให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ปรองดอง ที่พบว่าประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50 อยากให้ชะลอ ซึ่งคณะกรรมการบริหารของพรรคประเมินว่าน่าจะเป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่เราจัดเวทีประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น
อีกด้าน นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนอยากถามว่า ถ้าถอนออกไป แล้วจะทำอะไรต่อ และหากถอนแล้ว แนวคิดเรื่องการปรองดองทั้งหมด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาพูดคุยกัน อาทิ รัฐบาล ฝ่ายค้าน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กมส.) เป็นต้น หรือถ้าจะนำคู่กรณี อย่างแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มอื่นๆ มาร่วมพูดคุยก็สามารถทำได้ เพื่อที่จะมาตั้งหลักกันอีกครั้ง แต่ถ้าแค่ปล่อยเวลาผ่านไปเพื่อรอดูจังหวะว่าจะแอบนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้ามาสู่การพิจารณาได้ในช่วงเวลาไหน ตนเห็นว่าคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะบ้านเมืองก็จะอยู่บนความไม่แน่นอนและความหวาดระแวง.
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้สำรวจรถนายอภิสิทธิ์ พบว่าแม้รถยนต์ของนายอภิสิทธิ์จะสามารถกันกระสุนได้ แต่พบว่ามีรอยกรีดลึกหลายแผลบริเวณประตูหน้าด้านขวา จึงสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับคำอธิบายว่า เป็นรอยที่เกิดจากการที่คนเสื้อแดงไปชุมนุมปิดล้อมงานราตรีสีฟ้า ที่ปทุมธานี เนื่องจากตำรวจปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาถึงบริเวณหน้าประตูซึ่งรถของนายอภิสิทธิ์จอดอยู่ ทั้ง ๆ ที่มีการประสานงานไปก่อนแล้วว่า ขอให้ตำรวจช่วยกันคนเสื้อแดงไว้ที่ถนนอีกฟากหนึ่งเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า หรือ มีการทำลายทรัพย์สิน แต่ตำรวจกลับปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมถึงหน้าประตูโรงเรียน ทำให้ไม่สามารถนำรถไปรับนายอภิสิทธิ์ออกจากสถานที่ดังกล่าวได้
ผู้เกี่ยวข้องจึงหารือกับ นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อวางแผนในเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้กับนายอภิสิทธิ์ ที่จะต้องเดินทางกลับ กทม. หลังปราศรัยเสร็จสิ้น โดยใช้วิธีการเปลี่ยนรถคันใหม่ ให้รถส.ส.ในพื้นที่นำทาง 1 คัน จากนั้นนำนายอภิสิทธิ์ ออกทางประตูด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนเสื้อแดง
“ทั้งหมดพวกผมต้องทำกันเอง คิดกันเอง เราพึ่งตำรวจในพื้นที่ไม่ได้เลย ที่ข่าวออกไปว่าตำรวจเป็นคนคุ้มกันออกทางประตูหลังนั้นคลาดเคลื่อน ความจริงคือ นอกจากตำรวจไม่ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แล้ว ผมยังเชื่อว่าเขาปล่อยให้คนเสื้อแดงเข้ามาประชิดประตูโรงเรียนด้วย ทั้ง ๆ ที่มีการประสานให้กันอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนแล้ว แต่ก็ไม่มีผลอะไรเลย” แหล่งข่าวกล่าว
อีกด้าน นายอภิสิทธิ์ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคโดยภายหลังการประชุม นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาอนุมัติแผนงานจัดสัมมนาโครงการรวมพลังออกแบบประเทศไทย 10 รากฐาน แบ่งเป็น 1.สังคมอบอุ่นปรองดอง จะจัดที่ จ.สระบุรี 2.สังคมเรียนรู้ จัดที่ภาคอีสาน 3.สังคมสวัสดิการ จัดที่ จ.สงขลา และ 4.สังคมเป็นธรรมจัดที่ จ.เชียงใหม่
2.ฐานรากเศรษฐกิจ คือ 1.เกษตรเข้มแข็ง จัดที่ จ.พิษณุโลก 2.นวัตกรรม จัดที่ จ.ภูเก็ต 3.ประเทศไทยสีเขียว จัดที่ จ.นครสวรรค์ 3.ฐานรากการเมือง คือ 1 การเมืองเสรี จะจัดในจังหวัดภาคกลาง 2.รัฐโปร่งใส จัดที่ กทม. และ 4.ฐานรากประเทศไทย คือการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน จะจัดในจังหวัดภาคอีสานที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ทั้งนี้ การจัดสัมมนาทั้ง 10 กลุ่ม จะจัดเสร็จสิ้นภายในเดือน ส.ค.นี้ และนายอภิสิทธิ์ จะไปร่วมด้วยตัวเองทุกกลุ่ม ซึ่งจะมีการจัดเจ้าหน้าที่และขบวนรถเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับหัวหน้าพรรคด้วย หลังจากเกิดเหตุการณ์ถูกคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี บุกไล่มาแล้ว
นายชวนนท์ แถลงอีกว่า ได้มีการมอบหมายให้รองหัวหน้าพรรคทุกภาคกำชับให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ปรองดอง ที่พบว่าประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50 อยากให้ชะลอ ซึ่งคณะกรรมการบริหารของพรรคประเมินว่าน่าจะเป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่เราจัดเวทีประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น
อีกด้าน นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนอยากถามว่า ถ้าถอนออกไป แล้วจะทำอะไรต่อ และหากถอนแล้ว แนวคิดเรื่องการปรองดองทั้งหมด ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาพูดคุยกัน อาทิ รัฐบาล ฝ่ายค้าน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กมส.) เป็นต้น หรือถ้าจะนำคู่กรณี อย่างแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มอื่นๆ มาร่วมพูดคุยก็สามารถทำได้ เพื่อที่จะมาตั้งหลักกันอีกครั้ง แต่ถ้าแค่ปล่อยเวลาผ่านไปเพื่อรอดูจังหวะว่าจะแอบนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้ามาสู่การพิจารณาได้ในช่วงเวลาไหน ตนเห็นว่าคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะบ้านเมืองก็จะอยู่บนความไม่แน่นอนและความหวาดระแวง.