ASTVผู้จัดการรายวัน - เอาอยู่! สถาบันคุ้มครองเงินฝากยันกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก 1 ล้านบาท หากต้องการขยายไม่มีกำหนด ต้องเสนอสภาแก้กฎหมาย ระบุเงินกองทุน 1 แสนล้านบาทในปัจจุบันคุ้มครองเงินฝากในระบบได้
นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงทางด้านกฎหมายต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะผู้ต้องปฏิบัติว่าติดขัดทางข้อกฎหมายหรือไม่ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่อนุมัติให้ต่ออายุวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อบัญชีออกไป 3 ปี เพื่อเตรียมรองรับกับระบบการเงินโลกที่ยังมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรป เพราะตามข้อบัญญัติของกฎหมายได้ชี้แจงต่อสภาและผ่านร่างออกมาเป็นกฎหมายกำหนดว่า การคุ้มครองเงินฝากบัญชีละไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งหากจะมีการขยายการคุ้มครองเงินฝากออกไปจากที่กฎหมายกำหนดจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาพร้อมเหตุผลของการขยายการคุ้มครองพร้อมกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน หรือหากจะขยายการคุ้มครองออกไปเป็นบัญชีละไม่เกิน 50 ล้านบาท เป็นการทั่วไป โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาก็ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผ่านสภาพ 3 วาระตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ หากคุ้มครองเงินฝากบัญชีละไม่เกิน 1 ล้านบาท จะครอบคลุม 98.5% ของจำนวนผู้ฝากเงินหรือประมาณ 20% ของฐานเงินฝากในระบบ 7.5 ล้านล้านบาท และหากคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อบัญชีจะครอบคลุม 99.98% ของจำนวนผู้ฝากเงิน หรือ 77% ของฐานเงินฝาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเป็นเงินฝากของสถาบันจำนวน 12,500 ราย เช่น บริษัทประกัน กองทุนประกันสังคม และกองทุนส่วนบุคคล เพราะถ้าเป็นเงินฝากบุคคลธรรมดาจะไม่ถึง 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถาบันคุ้มครองเงินฝาก สามารถเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนได้แล้ว 1 แสนล้านบาท และจะได้อีกประมาณ 700 ล้านบาทในงวดวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งยังมีส่วนที่เรียกเก็บในอัตรา 0.40% ของเงินฝากบางส่วน แต่งวดวันที่ 31 มกราคม 2556 จะลดเหลือเพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น เพราะเป็นอัตราเพียง 0.1% ซึ่งถือว่าเพียงพอที่จะดูและเงินฝากในระบบได้ เพราะตามแบบจำลองที่ได้ศึกษาไว้ หากเกิดธนาคารพาณิชย์ล้มทั้งระบบจะใช้เงินประมาณ 5-6 ล้านล้านบาทในการดูแล แต่โอกาสที่จะเป็นไปได้มีน้อยมาก.
นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝากได้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงทางด้านกฎหมายต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะผู้ต้องปฏิบัติว่าติดขัดทางข้อกฎหมายหรือไม่ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่อนุมัติให้ต่ออายุวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อบัญชีออกไป 3 ปี เพื่อเตรียมรองรับกับระบบการเงินโลกที่ยังมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรป เพราะตามข้อบัญญัติของกฎหมายได้ชี้แจงต่อสภาและผ่านร่างออกมาเป็นกฎหมายกำหนดว่า การคุ้มครองเงินฝากบัญชีละไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งหากจะมีการขยายการคุ้มครองเงินฝากออกไปจากที่กฎหมายกำหนดจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาพร้อมเหตุผลของการขยายการคุ้มครองพร้อมกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน หรือหากจะขยายการคุ้มครองออกไปเป็นบัญชีละไม่เกิน 50 ล้านบาท เป็นการทั่วไป โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาก็ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผ่านสภาพ 3 วาระตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ หากคุ้มครองเงินฝากบัญชีละไม่เกิน 1 ล้านบาท จะครอบคลุม 98.5% ของจำนวนผู้ฝากเงินหรือประมาณ 20% ของฐานเงินฝากในระบบ 7.5 ล้านล้านบาท และหากคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อบัญชีจะครอบคลุม 99.98% ของจำนวนผู้ฝากเงิน หรือ 77% ของฐานเงินฝาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเป็นเงินฝากของสถาบันจำนวน 12,500 ราย เช่น บริษัทประกัน กองทุนประกันสังคม และกองทุนส่วนบุคคล เพราะถ้าเป็นเงินฝากบุคคลธรรมดาจะไม่ถึง 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถาบันคุ้มครองเงินฝาก สามารถเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนได้แล้ว 1 แสนล้านบาท และจะได้อีกประมาณ 700 ล้านบาทในงวดวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งยังมีส่วนที่เรียกเก็บในอัตรา 0.40% ของเงินฝากบางส่วน แต่งวดวันที่ 31 มกราคม 2556 จะลดเหลือเพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น เพราะเป็นอัตราเพียง 0.1% ซึ่งถือว่าเพียงพอที่จะดูและเงินฝากในระบบได้ เพราะตามแบบจำลองที่ได้ศึกษาไว้ หากเกิดธนาคารพาณิชย์ล้มทั้งระบบจะใช้เงินประมาณ 5-6 ล้านล้านบาทในการดูแล แต่โอกาสที่จะเป็นไปได้มีน้อยมาก.
