รมว.ไอซีทีสั่งไทยคม ปรับการถือหุ้นใหญ่ตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ชินคอร์ป (อินทัช) กลับมาถือ 51% ตามสัญญาสัมปทานเดิม
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่าได้สั่งการให้นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที ทำหนังสือแจ้งไปยังบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานดาวเทียมสื่อสาร ให้เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ศาลฎีกามีคำสั่งให้บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชื่อปัจจุบันบริษัท อินทัช) ไปดำเนินการปรับสัดส่วนการถือหุ้นชินคอร์ปจากไม่น้อยกว่า 40% ให้เพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 51% ภายใต้เงื่อนไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมเดิม
‘ในกระบวนการทำงานอาจล่าช้าบ้าง เพราะมีหลายขั้นตอน แต่ขอยืนยันว่ากระทรวงไอซีที จะต้องทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปอยู่ที่ 51% ตามสัญญาสัมปทานเดิมอย่างแน่นอนเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล เพราะหากไม่ทำจะถูกกล่าวหาได้’
ทั้งนี้การดำเนินการเพื่อให้บริษัทชินคอร์ป เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 51% มีการดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมแต่ก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก แต่ก็เชื่อว่าบริษัท ไทยคมจะแก้ไขให้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานอย่างแน่นอน และหากมีความชัดเจนแล้วก็คงต้องนำรายงานให้ที่ประชุมครม.รับทราบต่อไป
สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องเกี่ยวกับไทยคมมีทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานเดิมคือ ไม่น้อยกว่า 51%
2.กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์หรือดาวเทียมไทยคม 4 ถือว่าไม่ได้เป็นดาวเทียมสำรอง ทำให้ไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาสัมปทาน แต่ช่วงที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีก็ได้รับเงินส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานมาตลอด หากไม่ถือว่าไอพีสตาร์อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทาน กระทรวงไอซีทีก็อาจต้องชดเชยคืนให้กับคู่สัญญาสัมปทาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหาอยู่
3.เป็นกรณีนำเงินสินไหมทดแทนดาวเทียมไทยคม 3 ไปเช่าดาวเทียมอื่นแทนการซ่อมแซมหรือการสร้างใหม่นั้น ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไขสัญญาซึ่งกระทรวงไอซีทีก็กำลังเร่งหารือกับทางไทยคมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ถูกต้องเช่นเดียวกัน
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่าได้สั่งการให้นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที ทำหนังสือแจ้งไปยังบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานดาวเทียมสื่อสาร ให้เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ศาลฎีกามีคำสั่งให้บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชื่อปัจจุบันบริษัท อินทัช) ไปดำเนินการปรับสัดส่วนการถือหุ้นชินคอร์ปจากไม่น้อยกว่า 40% ให้เพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 51% ภายใต้เงื่อนไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมเดิม
‘ในกระบวนการทำงานอาจล่าช้าบ้าง เพราะมีหลายขั้นตอน แต่ขอยืนยันว่ากระทรวงไอซีที จะต้องทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปอยู่ที่ 51% ตามสัญญาสัมปทานเดิมอย่างแน่นอนเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล เพราะหากไม่ทำจะถูกกล่าวหาได้’
ทั้งนี้การดำเนินการเพื่อให้บริษัทชินคอร์ป เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 51% มีการดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมแต่ก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก แต่ก็เชื่อว่าบริษัท ไทยคมจะแก้ไขให้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานอย่างแน่นอน และหากมีความชัดเจนแล้วก็คงต้องนำรายงานให้ที่ประชุมครม.รับทราบต่อไป
สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องเกี่ยวกับไทยคมมีทั้งหมด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานเดิมคือ ไม่น้อยกว่า 51%
2.กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์หรือดาวเทียมไทยคม 4 ถือว่าไม่ได้เป็นดาวเทียมสำรอง ทำให้ไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาสัมปทาน แต่ช่วงที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีก็ได้รับเงินส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานมาตลอด หากไม่ถือว่าไอพีสตาร์อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทาน กระทรวงไอซีทีก็อาจต้องชดเชยคืนให้กับคู่สัญญาสัมปทาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหาอยู่
3.เป็นกรณีนำเงินสินไหมทดแทนดาวเทียมไทยคม 3 ไปเช่าดาวเทียมอื่นแทนการซ่อมแซมหรือการสร้างใหม่นั้น ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไขสัญญาซึ่งกระทรวงไอซีทีก็กำลังเร่งหารือกับทางไทยคมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ถูกต้องเช่นเดียวกัน