xs
xsm
sm
md
lg

‘นาซ่า’ มา ‘ไทย’ ยากกว่าไป ‘ดวงจันทร์’

เผยแพร่:   โดย: วีรพัฒน์ ปริยวงศ์

ปัญหาเรื่อง “นาซ่า” (จะอด) มา “อู่ตะเภา” นั้น เป็นอีกหนึ่งอาการกำเริบของ “โรคประชาธิปไตยชักกระตุก” ที่กำลังเข้าสู่ “ภาวะเรื้อรัง”

“สาเหตุอาการป่วย” นั้น บางคนมองว่าเป็นเพราะ “ความอ่อนหัดของรัฐบาล” ที่มัวแต่สาละวนกับเรื่อง “ปรองดอง-แก้รัฐธรรมนูญ” จนพลาดท่าไม่ได้ดำเนินการชี้แจงและตัดสินใจอย่างทันถ่วงที ทั้งที่มีข้อมูลพร้อมอยู่ในมือ

บางคนอาจมอง “ความอ่อนสำนึกของฝ่ายค้าน” ที่เล่นการเมืองมากไป แทนที่จะไปจี้ตรวจสอบเรื่องกฎระเบียบข้อกำหนดเรื่องความมั่นคงที่ฝ่ายบริหารจะต้องนำมาควบคุมดูแลโครงการ กลับไปขยายประเด็นเป็นเรื่อง มาตรา 190 เพื่อดึง “ศาลรัฐธรรมนูญ” มาเกี่ยวข้อง

บางคนอาจมองต่อไปถึง “ความอ่อนประชาธิปไตย” ของศาลรัฐธรรมนูญ หรือโครงสร้างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ขยายอำนาจดุลพินิจของ “คน 9 คน” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้ไปคร่อมทับรัฐบาลและสภาหลายเรื่อง จนฝ่ายการเมืองกลัวว่าจะถูก มาตรา 190 เล่นงาน

ในขณะที่บางคนก็อาจมอง “ความอ่อนสื่อของนักวิทย์ และความอ่อนวิทย์ของนักสื่อ” ซึ่งต่างฝ่ายต่างทำให้ข้อมูลและข้อชี้แจงในเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถปรากฏชัดได้ทันท่วงที ปล่อยให้มีแต่ “นิยายวิทยาศาสตร์กึ่งการเมือง” ฟุ้งเต็มไปหมด

แต่ที่แน่ๆ “นาซ่า” เอง ก็ดูท่าจะ “อ่อนการเมืองไทย” เพราะคงนึกในใจว่า ขนาดส่งคนบินไปไกลถึงดวงจันทร์ ยังทำสำเร็จมาแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า การจะบินฝ่า “มรสุมการเมืองไทย” ได้นั้น แสนยากเย็นลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า!

คำถามสำคัญ คือ วันนี้ ประเทศไทย และ “นาซ่า” จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร?

จาก “กรอบเวลา” ของลมฟ้าอากาศ ก็บังคับให้การบินสำรวจต้องเป็นช่วงเดือน สิงหาคม-กันยายน นี้ แต่กว่าจะบินได้ ก็ต้องขนย้ายติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งอาจใช้เวลาร่วมเดือน จึงหมายความว่า หากจะเดินหน้าต่อจริง “นาซ่า” ก็ต้องเริ่มขนย้ายของมาที่ประเทศไทยมาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นอย่างช้าแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนขอเสนอให้เราตั้งหลักกันก่อนดีไหมว่า หากสมมติเรายอมให้ “นาซ่า” ขนของมาถึงไทยได้ทันต้นหรือกลางเดือนสิงหาคมแล้ว พอถึงเวลานั้น เราจะมี “เครื่องมือทางกฎหมาย” ใดที่จะมาดูแลควบคุม “ความมั่นคง” ของประเทศชาติ ไปพร้อมๆ กับการเปิดอภิปรายในสภา ได้หรือไม่?

ในขั้นแรก คนไทยควรต้องทราบข้อมูลสำคัญก่อนว่า ทางสหรัฐฯ นั้น ได้ส่งหนังสือเสนอให้รัฐบาลไทยตอบรับเป็น “หนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต” (Exchange of Notes) ว่าด้วยคำขอของ “นาซ่า” ที่จะใช้ “อู่ตะเภา” มาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2555 ซึ่งทางฝ่ายสหรัฐฯ ก็รอการตอบรับจากฝ่ายไทย และพร้อมจะถูกผูกมัดภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ

“- Area of Operation: ...NASA...will file flight plans with Thai aviation authorities and strictly abide by any restrictions placed on flights…”

“- Compliance with Thai Law: While operating in Thailand, NASA and its partners will adhere to Thai law and closely coordinate its activities with the relevant authorities.”

(ดูเอกสารได้ที่ http://bit.ly/NASAVP )

กล่าวโดยสรุป ก็คือ

“นาซ่า” จะส่งมอบแผนเส้นทางการบิน (flight plans) ให้กับหน่วยงานฝ่ายไทย และจะปฏิบัติตามข้อห้ามเกี่ยวกับการบินใดๆ ที่ฝ่ายไทยกำหนดอย่างเคร่งครัด

“นาซ่า” และผู้ร่วมโครงการจะเคารพปฏิบัติตามกฎหมายไทย และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด

อันที่จริงข้อความเหล่านี้ แม้จะไม่เขียนไว้ ก็ย่อมเป็นสิทธิของประเทศไทย ในฐานะรัฐที่มีอธิปไตยเหนือดินแดนที่จะบังคับได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่การกำหนดไว้เช่นนี้ ย่อมทำให้ชัดเจนว่า ทางสหรัฐฯ เองก็พร้อมที่จะให้ “นาซ่า” ปฏิบัติการภายใต้การควบคุมตามกฎระเบียบคำสั่งของฝ่ายไทย

เมื่อข้อเท็จริงเป็นดังนี้ ผู้เขียนจึงเสนอว่า หากคนไทย (ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายความมั่นคง) ไม่ได้ดูถูกสติปัญญาของคนไทยด้วยกันเองจนเกินไป ก็ขอให้ตั้งสติว่า “ฝ่ายความมั่นคงของไทย” ก็มี “เครื่องมือทางกฎหมาย” หลายชิ้นที่นำมาใช้ได้

เช่น “พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551” “ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544” “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2552” ตลอดจนกฎระเบียบอื่นๆ ของกระทรวงกลาโหม กองทัพอากาศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร สามารถนำมาบังคับ ควบคุม ดูแล ให้ “นาซ่า” ปฏิบัติตามได้

สมควรย้ำว่า เมื่อปีที่แล้ว ตอนวิกฤตน้ำท่วม ไทยก็เคยให้ “องค์การสำรวจอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่น” (JAXA) ส่งเครื่องบินเข้ามา “ถ่ายภาพความละเอียดสูง” ในบริเวณสำคัญของไทย เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และแม้การถ่ายภาพที่ว่าจะกระทบ “ความมั่นคง” แต่ฝ่ายบริหารของไทยก็สามารถ “บริหารจัดการ” ให้เครื่องบินของญี่ปุ่นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความมั่นคงของประเทศไทยได้ (ดูเอกสารได้ที่ http://bit.ly/NASAVP )

ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราระลึกได้ว่า เรื่องที่ “นาซ่า” จะเข้ามาศึกษาเมฆอากาศ ก็เพื่อประโยชน์ของคนในโลกที่จะสามารถรับมือเตรียมพร้อมกับภัยธรรมชาติได้แล้ว แม้การเข้ามาบินย่อมมองได้ว่ากระทบ “ความมั่นคง” แต่ก็ไม่น่าจะ “เกินปัญญา” ฝ่ายบริหารของไทย ที่จะนำ “เครื่องมือทางกฎหมาย” มาใช้ “บริหารจัดการ” ให้ “นาซ่า” ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความมั่นคงของไทยอย่างครบถ้วนดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา

หรือหาก “ฝ่ายค้าน” คิดว่าตนรู้ดีกว่า ก็ไม่ต้องรอสภาเปิด แต่โปรดเสนอแนะมาให้ชัดเลยว่า มีสิ่งใดที่ฝ่ายบริหารของไทยควรจะได้ดำเนินการอย่างรัดกุมเป็นพิเศษ แทนที่จะได้แต่ถามลอยๆ และโยงประเด็นไปสู่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งไม่ได้มีความรู้หรือประสบการณ์ด้านความมั่นคงโดยเฉพาะแต่อย่างใด

หากเราทุกคนตั้งหลักได้เช่นนี้ ก็ไม่ผิดอะไรหากรัฐบาลไทยจะดำเนินการตอบรับให้ “นาซ่า” รีบขนของให้มาถึงไทยทันต้น-กลางสิงหาคม และเมื่อมาถึงแล้ว ก็พอดีกับที่สภาได้เปิดอภิปรายพูดย้ำกันให้ชัดเจนอีกครั้งว่า จะฝากให้ “ฝ่ายบริหาร” ดูแลเรื่องใดเป็นพิเศษ จากนั้น “ฝ่ายบริหาร” ก็ไปควบคุมดูแล “นาซ่า” แม้เวลา 2 เดือนอาจหดสั้นลง แต่ก็ยังไม่เสียเที่ยวที่เตรียมการมานับปี

ส่วนหาก “นาซ่า” จะดื้อดึงไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของฝ่ายไทย ก็เป็นปัญหาที่ “นาซ่า” ต้องขนของกลับไปเอง เพราะใน “หนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต” (Exchange of Notes) ทางสหรัฐฯ ก็ได้ยอมรับไว้แล้วว่า “นาซ่า” จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย

ก็หวังว่านักการเมืองไทยจะหยุดทำประเทศ “ชักกระตุก” โดยหันมารับผิดชอบในหน้าที่ตนเองตามกรอบของกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง และประกาศให้โลกรู้ว่า บินมา “ไทย” นั้นไม่ได้ยากกว่าบินไป “ดวงจันทร์!”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณี นาซ่า-อู่ตะเภา ดูได้ที่ http://bit.ly/NASAVP

************
http://www.facebook.com/verapat
กำลังโหลดความคิดเห็น