วานนี้ ( 26 มิ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดออกศาลปกครองสูงสุดออกนั่งบัลลงก์พิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่ กรมควบคุมมลพิษยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6พ.ค.2551 ว่า กรมควบคุมมลพิษละเลยต่อหน้าที่กรณีไม่ดำเนินการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูหรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วล่าช้าเกินสมควร จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านชุมชนคลิตี้ล่าง จ.กาญจนบุรี 22 รายที่เป็นผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจึงให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านชุมชนคลิตี้ล่างผู้ฟ้องคดี รายละ 33,783 รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 743,226บาท ทั้งนี้ ภายใน90วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ส่วนค่าธรรมเนียมศาลให้คืนแก่ชาวบ้านชุมชนคลิตี้ล่างทั้ง22ราย ตามส่วนแห่งการชนะคดี
โดยในการพิจารณาครั้งนี้เป็นการให้นายภาณุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตัวที่ไม่ผูกพันการพิจารณาขององค์คณะ ซึ่งนายภานุพันธุ์ เห็นว่า กรมควบคุมมลพิษมีความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านคลิตี้ ในส่วนค่าอาหารรายละ700บาท/เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย.2545-21 มิ.ย.2552 เป็นเวลา80เดือน เป็นเงินคนละ56,000บาท และรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่ชาวบ้านต้องเสียประโยชน์จากป่าและลำห้วยคลิตี้ตามวิถีการดำเนินชีวิตดั้งเดิมอีกคนละ1,000/เดือน หรือ12,000บาท/ปี ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.2542 -21 มิ.ย. 2552 เป็นเวลา 10ปี เป็นเงินอีกคนละ 120,000บาท ในฐานะกรมควบคุมมลพิษที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนแทนรัฐ ตามตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
ดังนั้นโดยสรุปสมควรที่ ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เพิ่มเงินชดใช้ให้ชาวบ้านคลิตี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22ราย จากคนละ33,783บาทเป็นคนละ176,000บาท รวมทั้งสิ้น 3,872,000 บาท และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ชาวบ้านคลิตี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22ราย
ทั้งนี้หลังการพิจารณาองค์คณะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้นัดวันฟังคำพิพากษา เพียงแต่แจ้งต่อทนายฝ่ายผู้ฟ้องว่าจะดำเนินการตัดสินโดยเร็ว
ด้านนายสุรชัย ตวงงาม ทนายความ ผู้อำนวยการโครงงานยุติธรรมสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ กล่าวว่าสิ่งที่ชาวบ้านเรียกร้องคือขอให้กรมควบคุมมลพิษไปกำหนดมาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถใช้ชีวิตปกติ และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติได้ตามเดิม ซึ่งตุลาการผู้แถลงคดีก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งดังกล่าว
การชดใช้ค่าเสียหายก็เป็นการเยียวยาเพียงบางส่วน แต่หากการปนเปื้อนสารตะกั่วยังมีอยู่ ความเสียหายก็ยังต่อเนื่องไม่รู้จบสิ้น การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนก็คือการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมามีสภาพดีโดยเร็ว ใช้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้”
อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังมีการฟ้องคดีต่อศาล จ.กาญจนบุรีอีกคดีหนึ่ง ซึ่งล่าสุดศาลชั้นอุทธรณ์ตัดสินว่าชาวบ้านไม่มีสิทธ์ไปฟ้องบังคับให้โรงงานเหมืองทำการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นอำนาจของกรมควบคุมมลพิษ จึงยังคาดหวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีการวางบรรทัดฐานที่ชัดเจน และสามารถใช้ได้กับพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยที่มีปัญหาทำนองเดียวกันด้วย
ส่วนของค่าชดเชยนั้นเดิมทีศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าชาวบ้านยังขาดหลักฐานนำสืบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใช้เงินซื้ออาหารมาทดแทนการจับปลาไม่ได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ทำให้พิพากษาออกมาให้ค่าชดเชยเพียงคนละ 25,000 บาท ไม่เต็มตามคำขอ แต่ตุลาการผู้แถลงคดีมองไปอีกมุมว่าตัวกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ตาม พรบ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมมาตรา 6 ในฐานะผู้อนุมัติอนุญาตโครงการที่เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม รัฐจะต้องมีหน้าที่ชดใช้ความเสียหาย จึงให้แก้คำสั่งศาลปกครองกลางให้ชดเชยคนละ 176,000 บาท
นายกำธร สุวรรณมาลัย อายุ 44 ปี อาชีพทำไร่ ชาวบ้านหมู่บ้านคลิตี้ เปิดเผยว่าทุกวันนี้ชาวบ้านยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำในห้วยคลิตี้ พยายามหลีกเลี่ยงด้วยการซื้อน้ำดื่ม แม้การประปาจะบอกว่าเอาไปต้มแล้วกรองก็จะบริโภคได้ แต่บางครั้งก็ยังต้องกินปลาในลำห้วยเพราะไม่มีเงินซื้อปลาที่อื่น หรือบางครั้งมีเงินแต่ไม่มีปลามาขาย นอกจากนี้ในส่วนของการลงอาบนั้นยอมรับว่าไม่สามารถห้ามได้ เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ยังลงอาบ เด็ก ๆ จึงยิ่งห้ามได้ลำบาก
โดยในการพิจารณาครั้งนี้เป็นการให้นายภาณุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเป็นตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตัวที่ไม่ผูกพันการพิจารณาขององค์คณะ ซึ่งนายภานุพันธุ์ เห็นว่า กรมควบคุมมลพิษมีความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านคลิตี้ ในส่วนค่าอาหารรายละ700บาท/เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย.2545-21 มิ.ย.2552 เป็นเวลา80เดือน เป็นเงินคนละ56,000บาท และรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่ชาวบ้านต้องเสียประโยชน์จากป่าและลำห้วยคลิตี้ตามวิถีการดำเนินชีวิตดั้งเดิมอีกคนละ1,000/เดือน หรือ12,000บาท/ปี ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.2542 -21 มิ.ย. 2552 เป็นเวลา 10ปี เป็นเงินอีกคนละ 120,000บาท ในฐานะกรมควบคุมมลพิษที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนแทนรัฐ ตามตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
ดังนั้นโดยสรุปสมควรที่ ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เพิ่มเงินชดใช้ให้ชาวบ้านคลิตี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22ราย จากคนละ33,783บาทเป็นคนละ176,000บาท รวมทั้งสิ้น 3,872,000 บาท และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ชาวบ้านคลิตี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22ราย
ทั้งนี้หลังการพิจารณาองค์คณะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้นัดวันฟังคำพิพากษา เพียงแต่แจ้งต่อทนายฝ่ายผู้ฟ้องว่าจะดำเนินการตัดสินโดยเร็ว
ด้านนายสุรชัย ตวงงาม ทนายความ ผู้อำนวยการโครงงานยุติธรรมสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ กล่าวว่าสิ่งที่ชาวบ้านเรียกร้องคือขอให้กรมควบคุมมลพิษไปกำหนดมาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถใช้ชีวิตปกติ และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติได้ตามเดิม ซึ่งตุลาการผู้แถลงคดีก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งดังกล่าว
การชดใช้ค่าเสียหายก็เป็นการเยียวยาเพียงบางส่วน แต่หากการปนเปื้อนสารตะกั่วยังมีอยู่ ความเสียหายก็ยังต่อเนื่องไม่รู้จบสิ้น การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนก็คือการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมามีสภาพดีโดยเร็ว ใช้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้”
อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังมีการฟ้องคดีต่อศาล จ.กาญจนบุรีอีกคดีหนึ่ง ซึ่งล่าสุดศาลชั้นอุทธรณ์ตัดสินว่าชาวบ้านไม่มีสิทธ์ไปฟ้องบังคับให้โรงงานเหมืองทำการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นอำนาจของกรมควบคุมมลพิษ จึงยังคาดหวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีการวางบรรทัดฐานที่ชัดเจน และสามารถใช้ได้กับพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยที่มีปัญหาทำนองเดียวกันด้วย
ส่วนของค่าชดเชยนั้นเดิมทีศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าชาวบ้านยังขาดหลักฐานนำสืบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใช้เงินซื้ออาหารมาทดแทนการจับปลาไม่ได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ทำให้พิพากษาออกมาให้ค่าชดเชยเพียงคนละ 25,000 บาท ไม่เต็มตามคำขอ แต่ตุลาการผู้แถลงคดีมองไปอีกมุมว่าตัวกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ตาม พรบ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมมาตรา 6 ในฐานะผู้อนุมัติอนุญาตโครงการที่เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม รัฐจะต้องมีหน้าที่ชดใช้ความเสียหาย จึงให้แก้คำสั่งศาลปกครองกลางให้ชดเชยคนละ 176,000 บาท
นายกำธร สุวรรณมาลัย อายุ 44 ปี อาชีพทำไร่ ชาวบ้านหมู่บ้านคลิตี้ เปิดเผยว่าทุกวันนี้ชาวบ้านยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำในห้วยคลิตี้ พยายามหลีกเลี่ยงด้วยการซื้อน้ำดื่ม แม้การประปาจะบอกว่าเอาไปต้มแล้วกรองก็จะบริโภคได้ แต่บางครั้งก็ยังต้องกินปลาในลำห้วยเพราะไม่มีเงินซื้อปลาที่อื่น หรือบางครั้งมีเงินแต่ไม่มีปลามาขาย นอกจากนี้ในส่วนของการลงอาบนั้นยอมรับว่าไม่สามารถห้ามได้ เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ยังลงอาบ เด็ก ๆ จึงยิ่งห้ามได้ลำบาก