กาญจนบุรี - ศาลอุทธรณ์กาญจน์ อ่านคำพิพากษามาราธอนนานกว่า 3 ชั่วโมง คดีกะเหรี่ยงคลิตี้ล่าง 151 คน ฟ้องบริษัทเอกชนที่ปล่อยสารตะกั่วลงสู่ลำห้วย ยืนตามศาลชั้นต้นให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 36 ล้านบาท ส่วนการฟื้นฟูยกคำร้อง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (7 ก.พ.) นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ นางภินันท์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ พร้อมด้วย นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา 2 ตัวแทนชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เหยื่อสารตะกั่ว ทั้งหมดเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บริเวณห้องพิจารณาคดี 8 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี โดยผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษานานกว่า 3 ชั่วโมง ยืนตามศาลชั้นต้นคดีแพ่งให้ชดใช้ค่าเสียหายรวม 36,050,000 บาท ส่วนคดีฟื้นฟูลำห้วยศาลสั่งยกฟ้อง
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความเปิดเผยภายหลังว่า หลังจากที่นั่งฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จังหวัดกาญจนบุรีนานกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งสรุปได้ว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) ชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวกะเหรี่ยงทั้ง 151 คนรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 36,050,000 บาท (สามสิบหกล้านห้าหมื่นบาท) ซึ่งยืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งคำสั่งดังกล่าวชาวบ้านที่ทนรอมานานกว่า 10 ปีต่างรู้สึกพอใจ
แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องมาดูกันว่าจำเลย คือ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จะดำเนินการตามคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือไม่ แต่ถ้าหากจำเลยยื่นฎีกาก็เป็นสิทธิ์ของจำเลย เชื่อว่าคงต้องต่อสู้กันในชั้นศาลอีกต่อไป
ส่วนกรณีชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ยื่นฟ้องให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำเลยให้ดำเนินเร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้คืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกฟ้อง ซึ่งให้เหตุผลว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบโจทก์ เนื่องจากการที่บ่อกักเก็บน้ำตะกอนทั้ง 3 บ่อพังทลายลงทั้งหมดเกิดจากพายุดีเปรสชัน ฝนตกหนักอันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยสั่งการให้ปล่อยน้ำและตะกอนดินลงสู่ลำห้วยคลิตี้ อีกทั้งหมู่บ้านคลิตี้ ตลอดจนพื้นที่อื่นๆ ในอำเภอทองผาภูมิ มีการปนเปื้อนของสารตะกั่วตามธรรมชาติอยู่แล้ว
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ พร้อมกับพวก 151 คน ได้ยื่นฟ้องกรมควบคุมมลพิษต่อศาลปกครองกลาง หมายเลขแดงที่ 637/2551 ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาว่า กรมควบคุมมลพิษปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูหรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ล่าช้าเกินควรละเลยต่อหน้าที่ในการเรียกค่าเสียหายจากผู้ก่อมลพิษให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ และกรมควบคุมมลพิษละเมิดไม่เรียกค่าเสียหายจากบริษัทก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ฟ้องคดีในการใช้จ่ายซื้ออาหารให้ชดใช้เงินผู้ฟ้องคดีคนละ 8,758 บาท รวมถึงค่าเสียหายต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติคนละ 20,525 บาท ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยศาลสั่งสิ้นสุดแสวงหาข้อเท็จจริงแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย.54 ที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า หลังจากนี้ไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องลงมาช่วยกันแก้ไขปัญหาสารตะกั่วปนเปื้อนลำห้วยคลิตี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งหากไม่เช่นนั้นปัญหาในอนาคตข้างหน้าจะไม่ใช่เฉพาะชาวบ้านคลิตี้ หรือชาว จ.กาญจนบุรี เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากพิษสารตะกั่ว ซึ่งจะอธิบายว่า ศาลตะกั่วที่ปนเปื้อนอยู่ที่ลำห้วยคลิตี้นั้น น้ำในลำห้วยได้ไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งเป็นน้ำดิบที่นำไปผลิตน้ำประปา ปัจจุบันประชาชนที่อาศัยอยู่กรุงเทพฯ อาจจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองไปผลิตน้ำประปาให้กับชาวกรุงเทพฯ ได้ใช้อุปโภคและบริโภคอยู่ในขณะนี้
ด้าน นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ แกนนำชาวบ้านกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า รู้สึกพอใจในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ยืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 36,050,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวบ้านต้องการมากที่สุด คือ การฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับสู่สภาวะเดิม เนื่องจากลูกหลานของเราที่เกิดมาต้องอาศัยน้ำในลำห้วยใช้ในชีวิตประจำวัน ตรงนี้ต่างหากที่เราชาวบ้านต้องการ