ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- เรียกว่าสั่นสะท้านและฮือฮากันไปทั้งเมืองทีเดียวสำหรับการออกมาป่าวประกาศบนเวทีปราศรัยที่มีนบุรีของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับการที่ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ส่งคน มาติดต่อให้พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีความจริงแฝงอยู่สักกี่มากน้อย
แน่นอน คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าวมีอยู่ 3 ข้อด้วยกันคือ
หนึ่ง-เคยมีการเจรจาต่อรองทางการเมืองกันจริงหรือไม่ และโอกาสที่ทั้งสองพรรคจะผสมพันธุ์กันมีสักกี่เปอร์เซ็นต์
สอง-นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์สร้างเรื่องโดยมีเป้าประสงค์ใด
สาม-ใครคือตัวละครที่นายสุเทพอ้างว่าเป็น 2 สุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์และ 1 สุภาพบุรุษในสังคมชั้นสูง ซึ่งประเด็นนี้ดูเหมือนว่า จะได้รับความสนใจจากสังคมค่อนข้างสูง
แน่นอน ไม่ว่า ความจริงจะเป็นเช่นไร แต่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดข้อมูลที่ออกมาจากปากของนายสุเทพได้กลายเป็นเกมการเมืองซึ่งกระแทกกระทั้นเข้าไปในความรู้สึกส่วนลึกของ “คนเสื้อแดง” ที่มีความหวาดระแวงเป็นทุนเดิมจากการถอยฉากอย่างไม่เป็นท่าทั้งกรณีร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติและความพ่ายแพ้ในเกมโหวตรับร่าง พ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 ชนิดที่ทรงประสิทธิภาพชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นแล้วเบื้องสูงเบื้องต่ำของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงรวมทั้งลูกชายสุดที่รัก โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร คงไม่ดาหน้ากันออกมาโต้เช่นนี้
**โปรดอย่าแปลกใจ ปชป.-พท.เกี้ยเซี้ยกันมาหลายครั้ง
ประเด็นแรก ถามว่า เคยมีการเจรจาต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนช.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จริงหรือไม่
ร้อยทั้งร้อยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเคยมีหลายเหตุการณ์และหลายสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายเคยเปิดฉากเจรจาทางการเมืองกันมาแล้วทั้งเป็นที่เปิดเผยและไม่เป็นที่เปิดเผย
ที่สำคัญคือในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็ใช่ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะไม่เคยทอดไมตรีกับพรรคเพื่อไทย โดยส่งแกนนำคนสำคัญของพรรคอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช หรือนายกอรปศักดิ์ สภาวสุ ไปเป็นผู้เจรจา
หากยังจำกันได้ นายอภิสิทธิ์เคยประกาศโรดแมป 5 ข้อพร้อมกับกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย.53เพื่อแลกกับการสลายการชุมนุมของ “ม็อบเสื้อแดง” ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนถึงการเจรจาเกี้ยเซี้ยทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยที่ชัดเจนยิ่ง
โดยในครั้งนั้น รายงานข่าวในทางลับแจ้งด้วยว่า ก่อนหน้าที่ RED MAP จะตกผลึกทางความคิดชนิดสะเด็ดน้ำเช่นนี้ ได้มีการประงานและต่อสายไปถึง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของม็อบเสื้อแดงตัวจริง และเมื่อนายใหญ่ตกลงโอเค โรดแมปทั้ง 5 ข้อจึงถูกร่างขึ้นมาร่วมกัน เช่นเดียวกับกำหนดวันเลือกตั้งที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ในวันที่ 14 พ.ย. โดยขุนพลที่เป็นตัวแทนฝ่าย นช.ทักษิณมีอยู่ 3 คนคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา และน.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช
และว่ากันว่า 1 ใน 3 คนนี้คือผู้ที่ร่างโรดแมปครั้งนี้ให้กับนายอภิสิทธิ์อีกต่างหาก
ขณะที่ตัวแทนเจรจาของนายอภิสิทธิ์ประกอบไปด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช นาย กอรปศักดิ์ สภาวสุและ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
หลังจากนั้นก็เคยมีการเจรจากันอีกครั้งในช่วงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เสนอหน้าเป็นกาวใจในการปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย อย่างนายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ หรือนพ.เหวง โตจิราการ เป็นต้น รวมทั้งเคยมีข่าวเรื่องสูตรการเจรจาตั้งรัฐบาลร่วมกันในขณะที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอีกด้วย
ส่วนเมื่อถามว่าโอกาสที่ทั้งสองพรรคจะผสมพันธุ์กันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
คำตอบก็คือ มีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี เพราะขึ้นชื่อว่า “การเมือง” ย่อมไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ทว่า ในทางปฏิบัติแล้ว โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก เพราะถ้าหากพรรคเพื่อไทยต้องการผสมพันธุ์กับพรรคประชาธิปัตย์จริง น่าจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้นานแล้ว เนื่องจากช่วงจังหวะเวลามีความเหมาะสม
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น จึงนำไปสู่คำถามที่สองว่า แล้วด้วยเหตุอันใดนายสุเทพถึงสร้างสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เช่นไร
ไม่ต้องคิดซับซ้อนก็ต้องได้ทันทีเลยว่า นายสุเทพต้องการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่คนเสื้อแดง เพราะต้องไม่ลืมว่า รอยร้าวที่ชัดเจนยิ่งระหว่างคนเสื้อแดงกับนช.ทักษิณได้เริ่มปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากคดีอากงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะนิ่งเงียบ ตามต่อด้วยการปฏิเสธที่จะแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาถึงจุดแตกหักเมื่อ นช.ทักษิณปราศรัยใหญ่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยถีบหัวส่งด้วยคำพูดที่ว่า “วันนี้พี่น้องแจวเรือพาผมถึงฝั่งแล้ว เวลานี้ผมจะขับรถขึ้นเขา ผมก็ยังไม่ลืมคนขับเรือมาส่ง วันนี้เราได้ทำหน้าที่มาสุดทาง” ก่อนที่จะถ่มถุยน้ำลายรดหน้าตัวเองหันกลับมา หลอกใช้คนเสื้อแดงอีกครั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติโหวตร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3
ทั้งนี้ นายสุเทพยิงระเบิดลูกใหญ่เข้าใส่ด้วยการระบุด้วยว่า ในการเจรจานอกจากจะขอไม่ให้ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายปรองดองแล้ว ยังจะช่วยเหลือคดีที่ดินเขาแพงของนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพด้วย
และนายสุเทพก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในการตอกลิ่มความขัดแย้งครั้งนี้
**ไขปริศนา 2 สตรีสูงศักดิ์ 1 บุรุษชั้นสูง
“ครั้งแรกเป็นสุภาพสตรีชั้นสูงสองคนมาชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณที่ดูไบ แต่ผมปฏิเสธ จากนั้นบอกว่าถ้าไม่อยากไปดูไบ ไปต่างประเทศวันไหนให้ พ.ต.ท.ทักษิณไปพบ แต่ผมบอกว่าไม่มีเรื่องคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังตื๊อให้ฟังเงื่อนไขของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งสุดท้าย 3 มิ.ย. 17.45 น.เริ่มเจรจา ผมไม่เปิดเผยชื่อคนกลางเพราะไม่อยากให้ถูกเข้าใจผิด เพราะคิดว่าคนเหล่านี้หวังดี,ขอไม่เปิดเผยชื่อคนที่มาติดต่อ เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร คนเสื้อแดงก็เอาไปด่าบนเวที แต่บอกได้ว่าครั้งแรกเป็นสองสุภาพสตรีที่มาเจรจาไม่ใช่คนในแวดวงการเมือง แต่เป็นคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ซึ่งผมไม่ขอเอ่ยชื่อ โดยครั้งแรกเริ่มประมาณมกราคม และกุมภาพันธ์ หลังน้ำท่วม ต่างกรรมต่างวาระกัน คนที่ 3 เป็นสุภาพบุรุษทำหน้าที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ทุกครั้งผมเรียนหัวหน้าและผู้ใหญ่ในพรรครับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด”
นั่นคือปริศนาที่นายสุเทพทิ้งเอาไว้และนำไปสู่การขยายผลของสังคมอย่างกว้าง เพราะทุกคนย่อมต้องการทราบว่า “2 สุภาพสตรีสูงศักดิ์” และ “ 1สุภาพบุรุษ” ทั้ง 3 รายนั้นเป็นใคร มีความสลักสำคัญเพียงใดถึงสามารถคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานได้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ภายหลังจากเซถลาไปชั่วพริบตา พรรคเพื่อไทยก็เล่นเกมย้อยศรเข้าใส่นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน ด้วยการให้ข้อมูลออกมาจากปากของ “แหล่งข่าว” ผ่านสื่อเฉลยชื่อ 2+1 ล็อบบี้ยิสต์ที่นายสุเทพเจตนาให้ตกเป็นข่าว แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อออกมาเป็นปริศนาอักษรย่อ ซึ่งต้องถือว่า เป็นการแก้ลำที่สมน้ำสมเนื้อกันไม่เบา โดยเฉพาะ 1 สุภาพบุรุษที่กลับกลายเป็นว่าคือญาติโกโหติกาของนายสุเทพ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากแกนนำ พท.ระบุชัดเจนว่า เคยมีการเจรจาระหว่าง พท.กับ ปชป.จริง โดยผ่านตัวละครที่นายสุเทพกล่าวอ้าง โดยสุภาพสตรีชั้นสูง 2 ราย รายแรกชื่ออักษรย่อ "ด." และมีบรรดาศักดิ์เป็นบุคคลชั้นสูง ส่วนคนสองชื่ออักษรย่อ "จ." ทำงานใกล้ชิดกับบุคคลชั้นสูง ส่วน 1 สุภาพบุรุษเป็นแกนนำ ปชป.และอยู่ในสังคมของบุคคลชั้นสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นเครือญาติของนายสุเทพ ซึ่งเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานชื่ออักษรย่อ "น." และนามสกุล "พ."
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า บุคคลทั้งสามได้เข้ามาเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดองกับ พท. แต่เนื้อหาของการพูดคุยเป็นไปในลักษณะของการสอบถามข้อมูล หยั่งเชิง พ.ต.ท.ทักษิณและท่าทีของคนเสื้อแดง รวมถึง พท.มากกว่า บางตอนก็มีการสอบถามถึงแนวโน้มคดีสั่งสลายชุมนุมของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โดยการพูดคุยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯไม่สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ อย่างไรก็ตาม การพูดคุยทุกครั้งของบุคคลทั้ง 3 รายจะผ่านเฉพาะแกนนำ พท.เท่านั้น ไม่เคยมีการเจรจาโดยตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่สำคัญไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาล
แน่นอน 1 สุภาพบุรุษที่พรรคเพื่อไทยเจตนาปล่อยชื่อย่อออกมาจะเป็นใครเสียมิได้นอกจาก “นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์” ผู้เป็นพี่ชายของนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภรรยาของนายสุเทพ
ขณะที่อีก 2 สตรีผู้สูงศักดิ์ก็ต้องบอกว่ามีการปล่อยข่าวที่มีเป้าหมายเช่นกัน โดยคนแรกที่ชื่อย่อ “ด.” นั้น หากยังจำกันได้ ชื่อของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้เคยเล็ดลอดออกมาจากปากของ “เดอะคางคก” นายจตุพร พรหมพันธุ์” โดยกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณจนตกเป็นข่าวครึกโครมมาแล้วครั้งหนึ่ง
ส่วนสตรีสูงศักดิ์คนที่ 2 นั้น เป็นเจตนาที่พรรคเพื่อไทยต้องการเปิดชื่อออกมาเพื่อดิสเครดิตอำมาตย์เป็นการเฉพาะ เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันว่า สตรีสูงศักดิ์ที่มีชื่อย่อว่า “จ” นั้น ทำงานรับใช้สถาบันเบื้องสูงอย่างใกล้ชิด และคนเสื้อแดงก็เคยเปิดฉากโจมตีมาแล้วหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน
ขณะที่นายสุเทพก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่า สุภาพบุรุษที่ชื่อย่อขึ้นต้นว่า “น” และนามสกุลขึ้นต้นว่า “พ” นั้น มิใช่ “นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์” รวมทั้งปฏิเสธว่า 2 สุภาพสตรีสูงศักดิ์ที่มีชื่อย่อขึ้นต้นว่า “ด” และ “จ” นั้น มิใช่คนเดียวกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยปล่อยข่าวออกมาเช่นกัน
เช่นเดียวกับ 2 สตรีสูงศักดิ์ที่ออกมาปฏิเสธพร้อมกันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ยืนยันว่า ไม่เคยรับหน้าที่เจรจาให้พรรคเพื่อไทย ในการประสานให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นไปไม่ได้ และไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นการสร้างข่าว เพื่อดิสเครดิตกันทางการเมือง ซึ่งผู้ให้ข่าวน่าจะมาเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนว่า สุภาพสตรีชั้นสูงที่กล่าวถึงนั้นเป็นใคร ส่วนท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ออกมาเปิดเผยเช่นกันโดยยืนยันว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกรณีที่เกิดขึ้น
คำถามก็คือ ฝ่ายชายเมื่อไม่ใช่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์แล้วคือใคร
คำถามคือ ฝ่ายหญิงเมื่อไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ที่เคยถูกเดอะคางคกพยายามลากไปโยง และไม่ใช่ท่านผู้หญิงชื่อย่อ จ.ที่ทำงานใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูงแล้ว ใครมีโอกาสที่จะเป็นไปได้บ้าง
สำหรับฝ่ายชายนั้น ถ้าหากไล่เรียงเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผนวกรวมกับบทบาทการเคลื่อนไหว จะสามารถขีดวงให้แคบเหลือเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นคือ
หนึ่ง-เสี่ยไก่ นายวัฒนา เมืองสุข
สอง-เสี่ยเพ้ง นายพงศ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล
และสาม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ชื่อย่อ “ส”
ขณะที่ฝ่ายหญิงดูเหมือนว่า หนึ่งในผู้ที่มีความเป็นไปได้ปรากฏชื่อของ สตรีสูงศักดิ์ชื่อย่อ “ป” เพิ่มเติมเข้ามา เพราะต้องไม่ลืมว่า ลูกสาวสุดสวยของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ก็มิใช่ใครอื่นไกลในพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะสอบตกไม่ได้เป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่พรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็เคยให้ตำแหน่งแห่งหนเพื่อให้ทำการงานเมืองอย่างที่ปรารถนาเรื่อยมา
นอกจากนี้ สามีของเธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจอีกต่างหาก
ส่วนอีก 1 สตรีนั้นคือเจ้าแม่ค้าอาวุธชื่อย่อ “ร”
ทั้งนี้ เหตุที่ทำให้ชื่อของผู้หญิง 2 คนนี้มีส่วนพัวพันก็เพราะก่อนหน้านี้เคยมีข่าวกระเส็นกระสายออกมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องความพยายามในการต่อสายของ นช.ทักษิณเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีตัวละครเป็นผู้หญิงชื่อดัง 2 คนเช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นคือ เจ้าแม่ค้าอาวุธชื่อย่อ “ร” ที่ในระยะหลังดูเหมือนว่า กิจการจะซบเซาจนคิดจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักล็อบบี้ยิสต์
ขณะที่อีกหนึ่งสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกชักชวนให้ไปเจรจาความเมืองเพื่อรับเงื่อนไขจาก นช.ทักษิณ ก็คือ สตรีสูงศักดิ์ชื่อย่อ ป เพียงแต่ในภายหลังเกิดไหวตัวทันว่าจะตกเป็นเหยื่อทางการเมืองจึงถอนตัวออกมา กระทั่งทำให้แผนการของเจ้าแม่นักค้าอาวุธชื่อดังเป็นอันต้องล้มพับไป
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงข้อสมมติฐานถึงโอกาสที่จะเป็นไปได้เท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วคนที่รู้ดีที่สุดว่า 2 สตรีสูงศักดิ์และ 1 สุภาพบุรุษคือใครก็คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมถึงเจ้าตัวเท่านั้น ซึ่งเชื่อขนมกินได้ว่า ไม่มีใครออกมายอมรับอย่างแน่นอน