xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นร.บดินทรฯ เหยื่อบริสุทธิ์ ประจานความเหลวแหลกการศึกษาไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ภาพเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) อดข้าวประท้วงที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการรับนักเรียนชั้นม.4 ของโรงเรียนบดินทรฯ โดยระบุว่ามีการรับนักเรียนไม่โปร่งใส พร้อมขอให้รับเด็กทั้งหมด 57 คนเข้าเรียนที่เดิม กลายเป็นข่าวครึกโครมตลอดสัปดาห์ ที่สร้างความหดหู่ใจกับวงการศึกษาไทยในปัจจุบันอย่างยิ่ง

ผลพวงจากเหตุการณ์นี้ เพราะนโยบายเปิดช่องให้โรงเรียนรับเงินบริจาค หรือ แปะเจี๊ยะเสรี หากจะหาตัวการสำคัญที่ออกมาตีปี๊บก่อนหน้านี้ เห็นจะไม่พ้นความรับผิดชอบของ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่อาจเรียกได้ว่า นอกจากไม่ใส่ใจ ต่องานในหน้าที่ของตนเอง ยังเป็นผู้เบิกทางเปิดช่องให้โรงเรียนรับเงินบริจาคแลกที่เรียนได้อย่างถูกต้อง

ย้อนกลับไปวันที่ ศ.ดร.สุชาติ มอบนโยบายให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนประจำจังหวัดทั่วประเทศ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ที่มาสัมมนาเรื่องรับนักเรียนปีการศึกษา 2555 ที่ รร.มิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ ผ่านระบบวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ตั้งแต่เดือนก.พ. 2555 ออกมาบอกเสียงดังฟังชัดว่า สนับสนุนให้มีการบริจาคให้กับโรงเรียนโดยเปิดทางให้โรงเรียนรับบริจาคให้เต็มเพื่อให้โรงเรียนมีเงินเพียงพอจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ และไม่ได้มองว่าการบริจาค คือ เรื่องแปะเจี๊ยะ

จากนั้น นโยบายดังกล่าว ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์วงกว้าง ว่าการรับบริจาคก็ไม่ต่างจากการเปิดช่องให้โรงเรียนเรียกรับแปะเจี๊ยะ และโรงเรียนบางแห่งอาจอาศัยช่องว่างจากนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน ของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)มาหาประโยชน์ได้

ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวการแก้ไขปัญหากรณีนักเรียนโรงเรียนบดินทรฯ ที่บรรดาพ่อแม่และนักเรียนที่ยกขบวนพาเหรดกันมามากกว่าครึ่งร้อย เจ้าตัวจะออกมาแก้เกี้ยวว่า นโยบายการรับนักเรียนที่ สพฐ.ประกาศนั้นถูกกำหนดขึ้นมาแต่สมัย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เป็น รมว.ศึกษาธิการ ตนเองเข้ามานั้นก็เพียงรับทราบโดยไม่ได้แก้ไขสิ่งใด แถมยังแบไต๋มากลางวงต่อหน้าพ่อแม่นักเรียนและสื่อมวลชนที่พาเหรดกันมานับ 100 ชีวิตด้วยว่า “มีคำถามเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในบางเรื่อง เพราะดูแล้วไม่เป็นธรรมโดยเฉพาะหลักเกณฑ์ที่ไปสร้างข้อจำกัดต่าง ๆ ซึ่งตนตั้งใจที่จะแก้ไขเหมาะสมเร็วที่สุด” เหตุใดไม่แก้ไขเสียแต่ที่พบ ?

แค่เพียงประโยคนี้ ก็คงพอจะสะท้อนให้เห็นแล้วว่า ศ.ดร.สุชาติ แค่ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ขนาดเห็น ๆ คาตา มีคำถามแต่ก็ยังเซ็นผ่าน ไม่ใส่ใจจะสอบถามหรือแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ ปล่อยปละละเลยจนเกิดปัญหา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ผู้ปกครอง นักเรียน โรงเรียนบดินทรฯต้องการทางออกและคำตอบ สะท้อนให้ประจักษ์ดีถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของ ศ.ดร.สุชาติ ที่ไม่เคยมีความชัดเจน ถนัดแต่พูดเรื่องที่ต้องการจะพูด ๆ ให้คลุมเครือเข้าไว้ สุดแต่ว่าใครจะตีความ เสร็จแล้วก็เผ่นแน่บกลับห้องล็อกประตูชนิดไม่ขอตอบข้อซักถามใดๆ โบ้ยให้ข้าราชการประจำ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) รับบทพระเอกประจันหน้ากับสถานการณ์อารมณ์คุกรุ่นของพ่อแม่และนักเรียน

ทั้งนี้ ประเด็นหลักที่ ศ.ดร.สุชาติ ชี้แจงในการแถลงข่าวนั้น ก็แค่โยนความผิดชอบทั้งหลายให้คนอื่น โดยตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริง กรณีที่ผู้ปกครองและนักเรียนต้องการให้ตรวจสอบว่าผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรฯ มีการรับแปะเจี๊ยะหรือไม่ โดยเฉพาะการรับในส่วนของเงื่อนไขพิเศษก็ให้ไปตรวจสอบดูด้วย และให้ สพฐ.ไปตั้งคณะกรรมการเยียวยาในสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา (สพม.) ทั้ง 42 เขตและให้นักเรียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการรับนักเรียนไปรายงานตัว รวมถึงนักเรียนโรงเรียนบดินทรฯที่มองว่าตนเองถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเรียนต่อม.4 ด้วย และสนับสนุนแนวทางของ สพฐ.ที่ให้ขยายโรงเรียนดังให้มีการขยายตัวเพื่อเพิ่มที่นั่งรับนักเรียนได้มากขึ้น เปรียบเทียบเหมือนร้านอาหารไหนที่มีคนอยากกินเยอะก็ต้องขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่ลดขนาดลง

ทั้งนี้ แนวคิดขยายสาขาโรงเรียนดัง ของ รมว.ศึกษาธิการ คนนี้คงจะทำให้ต่อไปประเทศไทยอาจจะมีโรงเรียนบดินทรฯ หรือโรงเรียนดัง ๆ แตกกิ่งก้านสาขากระจายสนองความต้องการของผู้ปกครองไปทั่ว แค่คุณภาพการศึกษาเท่าเดิม ทั้งๆ ที่ ที่ถูกต้องแล้วประเทศไทยควรจะพัฒนาโรงเรียนที่มีอยู่ให้มีคุณภาพเท่าเทียมกันกระจายตัวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ มากกว่าการขยายสาขาโรงเรียนขนาดใหญ่ เพราะยิ่งเป็นการสนับสนุนค่านิยมผู้ปกครองให้ลูกต้องเรียนแต่โรงเรียนดังๆ และสุดท้ายก็ไม่พ้นปัญหาแปะเจี๊ยะ ที่มีทุกยุคทุกสมัย

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า ความจริงแล้วกรณีโรงเรียนบดินทรฯ นั้น ศ.ดร.สุชาติ ก็ไม่ได้ต้องการออกมาเผชิญหน้าเท่าใดนัก ขนาดพ่อแม่และนักเรียนมาแห่กันมาถึงในกระทรวงฯ บางครั้งเจ้าตัวก็อยู่แต่ก็ไม่กล้าโผล่ออกมารับหน้าเอง ให้ข้าราชการประจำทั้งหลายดูแลรับหน้าแทน แต่ที่ต้องยอมเผยโฉมออกมาแถลงข่าววันนั้น เพราะมีคำสั่งจากทางพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ ถึงขนาดที่เรียกตัวกลับจากประเทศเกาหลีใต้โดยด่วนทั้งที่เพิ่งเดินทางไปได้เพียงวันเดียว เรียกว่าลากกระเป๋าเข้าห้องพักที่โรงแรมแต่ยังไม่ทันได้เอนตัวลงนอนก็ต้องลากกระเป๋าออกขึ้นเครื่องเดินทางกลับมาด่วนเพื่อเคลียร์เรื่องนี้ในตอนเช้า 22 พ.ค.โดยทางพรรคส่ง “เด็จพี่” นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคมาคอยประกบ

นอกจากนี้ การปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ ทำให้ ศ.ดร.สุชาติ ที่ประกาศว่าจะผลักดันให้ “กระทรวงศึกษาธิการไทยใสสะอาด” คงเป็นเพียงลมปากเพราะไม่สามารถสกัดการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองได้ ขนาดกุนซือใกล้ตัวยังอาศัยโอกาสนี้หาประโยชน์บนความทุกข์ของพ่อแม่และเด็กที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือ โดยแอบป่าวประกาศหลังแถลงข่าวเสร็จ ให้ผู้ปกครองมาลงชื่อ และสัญญาว่าจะดูแลเป็นพิเศษ การทำแบบนี้ส่งผลให้เกิดสองมาตรฐาน แทนที่ผู้ปกครองจะยอมกลับไปเข้าสู่ระบบและทำตามกฎที่ถูกต้อง ก็ยังมีนักการเมืองหน้าใหญ่หวังหาเสียงบนความเดือดร้อนของผู้ปกครอง แทนที่จะยอมรับและเดินตามระเบียบ กลับมีความหวังจะได้ซุกใต้ปีกอาศัยใบบุญนักการเมืองอีก

เชื่อได้แน่แท้แล้วว่า..วลีติดปากของ ศ.ดร.สุชาติที่ว่า “เราจะดูแลเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นลูกหลานของประชาชน ให้เป็นเหมือนลูกหลานของเราเอง” ซึ่งลั่นวาจาเป็นมั่นเป็นเหมาะนับแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ากระทรวง และทุกเวทีที่ไปเปิดงาน ไม่เว้นแม้แต่ต่อหน้าพ่อแม่และนักเรียนโรงเรียนบดินทรฯที่มากันในวันนั้น ก็คงเป็นเพียงคำสัญญาจอมปลอมเท่านั้น

สุดท้ายแล้วคนที่ก้มหน้ารับกรรมไป ก็ไม่ใช่ผู้บริหารหรือนักการเมือง แต่เป็น “เด็ก” ตาดำ ๆ ที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

กำลังโหลดความคิดเห็น