เอ็กโก กรุ๊ป จ่อลงทุนส่วนขยายโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์เพิ่มอีก 500เมกะวัตต์ คาดว่าเจรจาผู้ซื้อไฟได้ภายในปีนี้ ยันใช้เควซอนจะเป็นฐานรุกธุรกิจไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ ปรับงบลงทุนปีนี้เพิ่มเป็น 2หมื่นล้านบาทเพื่อรุกธุรกิจไฟฟ้าและเหมืองถ่านหิน
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน)(EGCO) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินเควซอน ที่ฟิลิปปินส์เพิ่มเติมอีก 500เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับ Meralco การไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ที่ต้องการเข้ามาร่วมถือหุ้นในโครงการส่วนขยายโรงไฟฟ้าดังกล่าว 50% คาดว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปในปีนี้ หลังจากบริษัทฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท เควซอน เพาเวอร์ (ฟิลิปปินส์)ถึง 98% ซึ่งจะเป็นฐานในการขยายธุรกิจไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ที่ยังมีศักยภาพที่จะขยายอีกมากในอนาคต ซึ่งแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯได้เพิ่มงบลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯจะเข้าซื้อโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเพิ่มขึ้น เช่น โรงไบโอดีเซล เหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
ได้มีการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าเอสพีพีหลายโครงการ และโรงไบโอดีเซล 1 โรง ส่วนครึ่งปีหลัง อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียที่มีปริมาณสำรองถ่านหินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านตัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้
"ในปีนี้บริษัทฯต้องหาเงินเพิ่มขึ้น1 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดหารูปแบบใดทั้งการกู้ยืมจากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่แล้ว 1 หมื่นล้านบาท"
ส่วนโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง ขณะนี้ยังจ่ายไฟฟ้าเป็นปกติ เนื่องจากผู้จัดหาถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้านี้ก็ยังจัดหาถ่านหินตามปกติเช่นกัน แม้ว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้จัดหาถ่านหินทำหนังสือถึงกฟผ.เพื่อขอปรับขึ้นราคาถ่านหินจากสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่เชื่อว่าไม่น่าเกิดกรณีเลวร้ายถึงขั้นหยุดจ่ายไฟฟ้าในโครงการนี้ สำหรับความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี สปป.ลาว ขณะนี้ยังเดินหน้าตามแผนงานทุกอย่าง เนื่องจากยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลลาวให้ชะลอโครงการ คาดว่าโครงการนี้จะจ่ายไฟฟ้าในปี 2562
นายสหัส กล่าวถึงผลประกอบการในปีนี้่ว่า บริษัทฯมั่นใจมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.9 พันล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่แล้วเสร็จหลายโครงการ รวมทั้งโรงไบโอดีเซล และไม่มีค่าธรรมเนียมจากการชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดเหมือนปีก่อนที่บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์หนี้โรงไฟฟ้าเควซอน 600-700 ล้านบาท และหากปีนี้บริษัทฯสามารถตกลงซื้อเหมืองถ่านหินได้ ก็จะยิ่งทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน)(EGCO) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินเควซอน ที่ฟิลิปปินส์เพิ่มเติมอีก 500เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับ Meralco การไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ที่ต้องการเข้ามาร่วมถือหุ้นในโครงการส่วนขยายโรงไฟฟ้าดังกล่าว 50% คาดว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปในปีนี้ หลังจากบริษัทฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท เควซอน เพาเวอร์ (ฟิลิปปินส์)ถึง 98% ซึ่งจะเป็นฐานในการขยายธุรกิจไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ที่ยังมีศักยภาพที่จะขยายอีกมากในอนาคต ซึ่งแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯได้เพิ่มงบลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯจะเข้าซื้อโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเพิ่มขึ้น เช่น โรงไบโอดีเซล เหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
ได้มีการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าเอสพีพีหลายโครงการ และโรงไบโอดีเซล 1 โรง ส่วนครึ่งปีหลัง อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียที่มีปริมาณสำรองถ่านหินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านตัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้
"ในปีนี้บริษัทฯต้องหาเงินเพิ่มขึ้น1 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดหารูปแบบใดทั้งการกู้ยืมจากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่แล้ว 1 หมื่นล้านบาท"
ส่วนโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง ขณะนี้ยังจ่ายไฟฟ้าเป็นปกติ เนื่องจากผู้จัดหาถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้านี้ก็ยังจัดหาถ่านหินตามปกติเช่นกัน แม้ว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้จัดหาถ่านหินทำหนังสือถึงกฟผ.เพื่อขอปรับขึ้นราคาถ่านหินจากสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่เชื่อว่าไม่น่าเกิดกรณีเลวร้ายถึงขั้นหยุดจ่ายไฟฟ้าในโครงการนี้ สำหรับความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี สปป.ลาว ขณะนี้ยังเดินหน้าตามแผนงานทุกอย่าง เนื่องจากยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลลาวให้ชะลอโครงการ คาดว่าโครงการนี้จะจ่ายไฟฟ้าในปี 2562
นายสหัส กล่าวถึงผลประกอบการในปีนี้่ว่า บริษัทฯมั่นใจมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.9 พันล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่แล้วเสร็จหลายโครงการ รวมทั้งโรงไบโอดีเซล และไม่มีค่าธรรมเนียมจากการชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดเหมือนปีก่อนที่บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์หนี้โรงไฟฟ้าเควซอน 600-700 ล้านบาท และหากปีนี้บริษัทฯสามารถตกลงซื้อเหมืองถ่านหินได้ ก็จะยิ่งทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก