xs
xsm
sm
md
lg

สุรชาติ บำรุงสุข ตาบอดคลำช้างอีกคน

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ท่านเป็นอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ แต่ไม่ได้เป็นอาจารย์ด้านการเมือง จึงมองอะไรๆ ไม่ทะลุ มองเพียงในมุมมองของตนเอง มองเพียงปรากฏการณ์ที่เห็นด้วยตา แต่หาได้มองด้วยปัญญาไม่

ขออนุญาตจากบทความมติชนสุดสัปดาห์ (11/5/55) ขอวิจารณ์ความเห็นของ อ.สุรชาติ บำรุงสุข อย่างน้อย 2-3 ประเด็นดังเช่น การมองรัฐประหารแบบตายตัว ท่านเชื่อว่า นักรัฐประหารมีตัวตนมีการชี้นำ ดังความเห็นที่ว่า “ฉะนั้น ตราบเท่าที่พวกเขายังเชื่อเสมอว่า พวกเขาเป็นผู้ควบคุมกองทัพ และกองทัพไม่ใช่กลไกรัฐหากเป็นกลไกของชนชั้นนำแล้ว ตราบนั้น รัฐประหารก็จะยังคงเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อใดก็ตามที่ผลประโยชน์ของชนชั้นนำขัดแย้งกับรัฐบาลแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาก็จะผลักเอากองทัพมาขับเคลื่อนบนกระดานการเมือง”

อ.สุรชาติ มองว่ารัฐประหารเกิดจากชนชั้นนำ และชนชั้นนำกุมกองทัพ รัฐประหารจึงเกิดขึ้นได้เสมอ

อันที่จริง รัฐประหารทุกประเทศ เกิดจากระบอบเผด็จการชนิดใดชนิดหนึ่ง รัฐประหารไม่ได้เกิดจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือชนชั้นนำ ไม่ใช่ว่าวันดีคืนดีชนชั้นสั่งให้ทหารทำรัฐประหารได้ การมองอย่างนี้เขาเรียกว่า “มองไม่รอบด้าน” การเกิดรัฐประหารคล้ายๆ กับแผ่นดินไหว จะต้องสั่งสมพลังงานไปเรื่อยๆ อันเกิดจากความไม่พอใจการบริหารของรัฐบาลพลเรือน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการซื้อเสียง เมื่อตั้งรัฐบาลแล้ว บริหารประเทศล้มเหลว (เพราะเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือความจริงที่ครอบงำประเทศไทยมา80 ปี) รัฐบาลคอร์รัปชัน ถอนทุน ประชาชน คนรักชาติทนไม่ได้ มันจึงกลายเป็นพลังผลักดันให้กองทัพทำรัฐประหาร

ทำไมกองทัพสามารถทำรัฐประหารได้ ทำได้ก็เพราะการเมืองการปกครองแบบเผด็จการทุกชนิดอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวและกองทัพไม่ได้ทำหน้าที่กลไกรัฐเป็นม้าให้รัฐบาลขี่เพียงอย่างเดียว แต่เพราะกองทัพทุกประเทศทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบแห่งรัฐด้วย พูดง่ายๆ ว่า ความสัมพันธ์หลังกองทัพเป็นองค์ประกอบของรัฐ ขณะเดียวกันความสัมพันธ์รองเป็นกลไกรัฐ นี่คือหลักวิชาที่ถูกต้องนับแต่มีรัฐแรกเริ่ม

ประเทศประชาธิปไตย ยกตัวอย่าง มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ได้ผ่านการปฏิวัติประชาชาติมาแล้วเพราะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ประชาชนตื่นตัว พร้อมๆ กับการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เมื่อได้ชัยชนะการเมืองจึงเป็นการเมืองของประชาชนอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนรัฐบาลตอบสนองต่อประชาชน ประชาชนมีความเข้มแข็งกองทัพจึงทำรัฐประหารไม่ได้ หมายความว่ากองทัพยอมรับการนำของรัฐบาลที่มาจากประชาชน

ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายรัฐประหารจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ที่รัฐประหารเกิดขึ้นได้เกิดจากประเทศนั้นๆ ยังคงรักษาระบอบเผด็จการลักษณะใดลักษณะหนึ่งไว้นั่นเอง

ประเทศไทยชนชั้นผู้ปกครองติดอยู่ในลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเพราะเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับมากที่สุดในโลก ก็ไม่เคยได้ ไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยนับแต่รัฐประหารครั้งแรกอยากได้ธรรมนูญการปกครอง รัฐประหารครั้งล่าสุดอยากได้ระบอบประชาธิปไตยแต่เสือกโง่ไปร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 มันก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย มันได้แต่เผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา

พรรคเพื่อไทยได้อำนาจอยากได้ระบอบประชาธิปไตย แต่เสือกบรมโง่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า มันก็เป็นแนวทางเดิมๆ อันเป็นแนวทางของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเพียงแต่จะเป็นฝ่ายซ้ายหรือขวาเท่านั้นเอง

สมมติคณะรัฐประหารปี 49 ยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลทักษิณความจริงแท้คือเป็นรัฐบาลที่มาโดยเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลจากรัฐบาลทักษิณคอร์รัปชันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หากรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว ร่วมมือกับประชาชนผลักดันการสถาปนาหลักการปกครอง (ระบอบ) ประชาธิปไตยโดยธรรม ป่านนี้ก็สามารถหลุดพ้นจากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญได้

สมมติพรรคเพื่อไทย ซึ่งอ้างว่าชนะเลือกตั้งได้อำนาจแล้ว ก็ร่วมมือกับประชาชนเพื่อร่วมกันผลักดัน ขับเคลื่อนนโยบาย “สถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรม” ทำได้สำเร็จ พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมก็หลุดพ้นจากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญได้ จากนั้นจึงค่อยแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ให้ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม นี่คือการทำการเมืองให้เป็นของประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน “เผด็จการรัฐสภาที่เห็นได้ด้วยตา” ก็จะหมดไป

เราขอย้ำว่า ทุกรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ ย่อมล้มเหลวเสมอรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยก็ไปไม่รอดเพราะเข้าใจผิด สำคัญผิด ในการบริหารประเทศ

จึงเห็นชัดว่า มวลชนแดง เป็นมวลชนที่ถูกชักนำด้วยเงื่อนไขต่างๆ เช่น เงิน สัญญาต่างๆ เป็นต้น จึงไม่ใช่มวลชนประชาธิปไตย ตามที่ อ.สุชาติ บำรุงสุข เข้าใจ มวลชนแดงภาพโดยรวมเป็นมวลชนลัทธิรัฐธรรมนูญ เพราะถูกชักนำโดยแกนนำลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ นำไปสู่จุดมุ่งหมายคือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฉบับที่ 19 จึงเห็นชัดว่า ทักษิณ จตุพร ณัฐวุฒิ หมอเหวง ธิดา ฯลฯ แกนนำคนสำคัญของเสื้อแดงล้วนเป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น รวมทั้ง อ.สุชาติ บำรุงสุข เองด้วย มองจากแนวคิดก็เป็นนักวิชาการฝ่ายลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญฝ่ายทักษิณ

หาก อ.สุรชาติ บำรุงสุข เป็นนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยจริง ท่านต้องพูด ผลักดันให้มีการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรม

ก็เช่นเดียวกัน ทั้งแกนนำ สื่อมวลชน นักวิชาการ และมวลชนประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องเรียกร้อง เสนอแนะ ผลักดัน การสถาปนาหลักการปกครองประชาธิปไตยโดยธรรม ผู้เขียนเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 (หาอ่านได้ในบทความที่ผ่านๆ มา)

อ.สุรชาติ บำรุงสุข กล่าวว่า “นอกจากตัวแบบเช่นนี้แล้วการปรากฏตัวของขบวนการ “คนเสื้อแดง” ก็คือภาพสะท้อนของแรงต่อต้านรัฐประหารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในการเมืองไทย”

ภาพของคนเสื้อแดงต่อต้านรัฐประหารตามความโง่เขลาของแกนนำ เช่น จตุพร เป็นต้น การต่อต้านรัฐประหารอย่างแท้จริงคือการร่วมกันสร้าง ร่วมกันสถาปนาหลักการปกครอง (ระบอบ) โดยธรรม ไม่ใช่ไปร่างรัฐธรรมนูญใหม่

การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นแนวทางที่ผิดซ้ำซาก ซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง “เสี่ยงภัยและเสียเวลา พาไปสู่หายนะ” ก็จะทำกันอยู่อีก หลักการปกครองเป็นเรื่องการเมืองของประชาชน ส่วนการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) เป็นเรื่องของนักการเมืองและนักปกครอง

ดังนั้น อ.สุรชาติ บำรุงสุข อย่าได้เข้าใจผิดอีกเลยต้องร่วมมือกันไม่เอาทั้งเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา (มาจากเลือกตั้ง โกงกิน) อันเป็นเหตุและบ่อเกิดของเผด็จการรัฐประหาร (ระบบรัฐสภา) “ต้านรัฐประหารที่แท้จริงคือต้านเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา เพราะมันเป็นเหตุแห่งรัฐประหาร”

“ตราบใดที่ยังมีเผด็จการ รัฐประหารย่อมเกิดได้เสมอ”
กำลังโหลดความคิดเห็น