นักลงทุนวิตกภาวะเศรษฐกิจยูโรโซน หลังผู้นำฝรั่งเศสคนใหม่ไม่ใช้มาตรรัดเข็มขัด แห่เทขายหุ้นและทองคำ กดดัชนีหุ้นไทยร่วง 23 จุด ทองคำวูบ 550 บาท โบรกฯแนะจับตาต่อเนื่องมีผลต่อการลงทุน ด้านผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ชี้ตลาดไทยแข็งแกร่งผันผวนต่ำกว่าที่อื่น
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (9พ.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน จากปัจจัยลบของกลุ่มประเทศในยูโรโซน โดยปิดที่ระดับ 1,207.25 จุด ลดลง 23.79 จุด หรือ 1.93% มูลค่าการซื้อขาย 40,811 ล้านบาท น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามต่างประเทศที่กังวลการเปลี่ยนทางการเมืองของประเทศกรีซและฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะกระทบกับการปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัดและการขอรับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) นอกจากนี้ มูดี้ส์จะมีการทบทวนเครดิตเรตติ้งของสถาบันการเงินในยุโรป เบื้องต้นอาจมีการลดอันดับเครดิตกว่า 100 แห่งในยุโรป ซึ่งอาจเป็น sentiment ที่เข้ามากดดันในช่วงนี้ด้วย
ทำให้ทิศทางหุ้นไทยวันนี้(10พ.ค.) แนะนำนักลงทุนอาจถือหุ้นต่อหรือซื้อในจังหวะอ่อนตัว โดยแนวดัชนีไม่ควรหลุด1,218 จุด แต่หากหลุดมีสิทธิปรับฐานแบบมีนัยสำคัญ ช่วงนี้จับตาเรื่องยุโรป เพราะเป็นปัจจัยที่เข้ามามีน้ำหนักในตลาดค่อนข้างมาก
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ยุโรป มีการปรับตัวลดลงวันละ 2%ในช่วงที่ผ่านมา จากนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเลือกตั้งผู้นำใหม่ ซึ่งพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นเสนอนโยบายปฏิเสธการรัดเข็มขัด จึงทำให้นักลงทุนกังวลหากไม่รัดเข็มขัดจะทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาหนี้ได้ ทำให้ปัญหาหนี้ยุโรปมีความเสี่ยงมากขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความผันผวนไม่มากนัก จากตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานที่ดีรองรับ 4 เรื่องคือ รัฐบาลไทยมีการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตมากขึ้น 2. ราคาตลาดหุ้นไทยถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ที่ผ่านมาดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่P/E เพียง 12 .8เท่า
ปัจจัยที่ 3.ตลาดหุ้นไทยมีฐานนักลงทุนในประเทศสัดส่วนที่สูง ทำให้เมื่อนักลงทุนต่างประเทศมีแรงขายออกมาพร้อมกันแต่ก็จะมีนักลงทุนในประเทศมีการซื้อขายอยู่ และ 4.ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.)มีการปรับตัวที่ดีกว่าปีก่อนแม้ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อุตสหากรรมต่างๆมีการฟื้นตัวได้เร็ว
แต่ปัจจัยภายในประเทศที่น่ากังวลคือเรื่องอัตราเงินเฟ้อ เพราะ เมื่อราคาสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่รัฐบาลไม่ยอมให้ภาคธุรกิจมีการปรับราคาขึ้นจากต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อกำไรของจ.ในช่วงครึ่งปีหลังจากการที่มาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.1 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง โดยต้องลุ้นว่าเราจะอยู่ที่มาร์เกตแคปที่ 10 ล้านล้านบาทนานแค่ไหน แต่ในช่วง ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการ 3 วันทำการที่ผ่านมามาร์เกตแคปมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาทแล้วจากปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำในประเทศ ปิดตลาดทองแท่งรับซื้อคืน 23,300 บาท ขายออก 23,400 บาท รูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 22,967.40 บาท ขายออก 23,800 บาท ลดลง 550 บาทจากวันก่อนหน้า บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด รายงานว่า ความไม่แน่นอนต่อแนวทางแก้วิกฤติหนี้ยูโรโซน ซึ่งอาจจะทำให้การฟื้นตัวของยูโรโซนตกอยู่ในความเสี่ยง และความขัดแย้งซึ่งส่อแววว่ายูโรโซนจะขาดเอกภาพในการแก้ไขปัญหา หลังจากนายออลลองด์ผู้นำฝรั่งเศสคนใหม่ จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดตามที่หาเสียงไว้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างเกิดความหวั่นวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูโรโซนที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้
กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจีมีมุมมองว่า หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,570 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ราคาทองคำมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นไปได้ โดยหากราคาทองคำดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,605 - 1,615 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่สามารถยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ราคาทองคำอาจมีย่อตัวลงมาเพื่อสร้างฐานของราคา โดยประเมินแนวรับที่ 1,570 -1,562 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งบริเวณดังกล่าวนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้สามารถทะยอยสะสมบ้างส่วน หรือ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงน้อยยังคงแนะนำลงทุนระยะสั้นโดยให้รอจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัว
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (9พ.ค.) ปรับตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน จากปัจจัยลบของกลุ่มประเทศในยูโรโซน โดยปิดที่ระดับ 1,207.25 จุด ลดลง 23.79 จุด หรือ 1.93% มูลค่าการซื้อขาย 40,811 ล้านบาท น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามต่างประเทศที่กังวลการเปลี่ยนทางการเมืองของประเทศกรีซและฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะกระทบกับการปฏิบัติตามมาตรการรัดเข็มขัดและการขอรับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินจากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) นอกจากนี้ มูดี้ส์จะมีการทบทวนเครดิตเรตติ้งของสถาบันการเงินในยุโรป เบื้องต้นอาจมีการลดอันดับเครดิตกว่า 100 แห่งในยุโรป ซึ่งอาจเป็น sentiment ที่เข้ามากดดันในช่วงนี้ด้วย
ทำให้ทิศทางหุ้นไทยวันนี้(10พ.ค.) แนะนำนักลงทุนอาจถือหุ้นต่อหรือซื้อในจังหวะอ่อนตัว โดยแนวดัชนีไม่ควรหลุด1,218 จุด แต่หากหลุดมีสิทธิปรับฐานแบบมีนัยสำคัญ ช่วงนี้จับตาเรื่องยุโรป เพราะเป็นปัจจัยที่เข้ามามีน้ำหนักในตลาดค่อนข้างมาก
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ยุโรป มีการปรับตัวลดลงวันละ 2%ในช่วงที่ผ่านมา จากนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีการเลือกตั้งผู้นำใหม่ ซึ่งพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นเสนอนโยบายปฏิเสธการรัดเข็มขัด จึงทำให้นักลงทุนกังวลหากไม่รัดเข็มขัดจะทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาหนี้ได้ ทำให้ปัญหาหนี้ยุโรปมีความเสี่ยงมากขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความผันผวนไม่มากนัก จากตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานที่ดีรองรับ 4 เรื่องคือ รัฐบาลไทยมีการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตมากขึ้น 2. ราคาตลาดหุ้นไทยถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ที่ผ่านมาดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่P/E เพียง 12 .8เท่า
ปัจจัยที่ 3.ตลาดหุ้นไทยมีฐานนักลงทุนในประเทศสัดส่วนที่สูง ทำให้เมื่อนักลงทุนต่างประเทศมีแรงขายออกมาพร้อมกันแต่ก็จะมีนักลงทุนในประเทศมีการซื้อขายอยู่ และ 4.ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.)มีการปรับตัวที่ดีกว่าปีก่อนแม้ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบปัญหาน้ำท่วมแต่อุตสหากรรมต่างๆมีการฟื้นตัวได้เร็ว
แต่ปัจจัยภายในประเทศที่น่ากังวลคือเรื่องอัตราเงินเฟ้อ เพราะ เมื่อราคาสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่รัฐบาลไม่ยอมให้ภาคธุรกิจมีการปรับราคาขึ้นจากต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อกำไรของจ.ในช่วงครึ่งปีหลังจากการที่มาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.1 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง โดยต้องลุ้นว่าเราจะอยู่ที่มาร์เกตแคปที่ 10 ล้านล้านบาทนานแค่ไหน แต่ในช่วง ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการ 3 วันทำการที่ผ่านมามาร์เกตแคปมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาทแล้วจากปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำในประเทศ ปิดตลาดทองแท่งรับซื้อคืน 23,300 บาท ขายออก 23,400 บาท รูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 22,967.40 บาท ขายออก 23,800 บาท ลดลง 550 บาทจากวันก่อนหน้า บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด รายงานว่า ความไม่แน่นอนต่อแนวทางแก้วิกฤติหนี้ยูโรโซน ซึ่งอาจจะทำให้การฟื้นตัวของยูโรโซนตกอยู่ในความเสี่ยง และความขัดแย้งซึ่งส่อแววว่ายูโรโซนจะขาดเอกภาพในการแก้ไขปัญหา หลังจากนายออลลองด์ผู้นำฝรั่งเศสคนใหม่ จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดตามที่หาเสียงไว้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างเกิดความหวั่นวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูโรโซนที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้
กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจีมีมุมมองว่า หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,570 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ราคาทองคำมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นไปได้ โดยหากราคาทองคำดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,605 - 1,615 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่สามารถยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ราคาทองคำอาจมีย่อตัวลงมาเพื่อสร้างฐานของราคา โดยประเมินแนวรับที่ 1,570 -1,562 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งบริเวณดังกล่าวนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้สามารถทะยอยสะสมบ้างส่วน หรือ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงน้อยยังคงแนะนำลงทุนระยะสั้นโดยให้รอจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัว