xs
xsm
sm
md
lg

จนท.คุมเข้มปูลงใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"ปู" ควง "ยุทธศักดิ์-ประยุทธ์"ลงใต้ เรียกถกหน่วยงานความมั่นคง รับหน่วยงานแก้ไฟใต้ยังไม่มีเอกภาพ เตรียมตั้ง คกก.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้ปัญหา เข้มจุดตรวจใน-นอกเมือง พร้อมเสริมทั้งงบและกำลังพล ด้านผู้นำศาสนาขอความมั่นใจรัฐบาลให้ลงพื้นที่บ่อยขึ้นอย่าทอดทิ้งประชาชน จนท.กำลังคุมเข้มทั่วทั้งพื้นที่หวั่นคนร้ายก่อเหตุท้าทายอำนาจนายกฯ

เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ (29 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานีว่า บรรยากาศโดยทั่วไปก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่ พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินตามยุทธศาสตร์การรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน โดยมี พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยมีประชาชนในเครือข่ายญาลันนันบารู และโครงการจ้างงานเร่งด่วน กลุ่มเยาวชนกว่า 1,000 คนรอพบปะให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองกำลังทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองอย่างเข้มงวด

เมื่อคณะมาถึงสนามเฮลิคอปเตอร์ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดยเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮอว์กลำเดียว มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาพร้อมกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้วได้พบปะผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนกว่า 1,000 คนที่มาร่วมให้การต้อนรับพร้อมมอบดอกไม้เป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรี และคณะ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวกับประชาชนที่รอให้การต้อนรับก่อนที่จะเข้าประชุมว่า ทางรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีแผนในการนำบุคลากร และแผนการพัฒนาพื้นที่แบบยั่งยืนเพื่อจะเตรียมลงมาใช้ และทำให้เกิดความสันติสุข เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เข้าร่วมรับฟังปัญหาในด้านต่างๆ และความคืบหน้าด้านคดีกรณีเหตุระเบิดที่ จ.ยะลา และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในพื้นที่

**ผู้นำศาสนา5จชต.ขอปูอย่าทิ้ง ปชช.

เวลา 10.30 น.นายกรัฐมนตรี ได้พบกับผู้นำศาสนาจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเจ้าคณะทั้ง 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ประธานชมรม กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนผู้นำท้องถิ่น โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวว่า การเดินลงมาครั้งนี้เพื่อมาปฏิบัติหน้าที่และมอบนโยบายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและพร้อมจะนำความสันติสุขกลับมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเพิ่มมาตรการในการดูแลความปลอดภัย จะส่งเสริมและให้ความสำคัญกับทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน

ขณะที่ทางผู้นำศาสนา ได้กล่าวว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีเดินทางลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และอย่าทอดทิ้งประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

**สั่ง ศอ.บต-กอ.รมน.บูรณาการดับไฟ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือในเรื่องการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ รวมถึงการรับฟังปัญหา เนื่องจากรัฐบาลเน้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ที่มีโอกาสได้รับฟังจากทุกฝ่าย ที่สำคัญในครั้งนี้ได้นำนโยบายที่เป็นยุทธศาสตร์หลักในการทำงานที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ที่น้อมนำแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ดูแลพี่น้องประชาชนให้เกิดมีการสร้างอาชีพภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง การใช้สันติในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเสมอภาค

ในส่วนของความมั่นคงนั้น ก็มีการบูรณาการทุกส่วนงาน หน่วยงานที่ดูแลภาคใต้ในขณะนี้มีถึง 17 กระทรวง 66 หน่วยงาน ที่ได้บูรณาการแผนตามยุทธศาสตร์นี้เป็นแนวทางเดียวกัน เบื้องต้นได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ในการเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินนโยบาย และติดตามการทำงานทุกหน่วยงาน เพื่อให้ทุกอย่างสอดคล้องและเป็นไปตามยุทธศาสตร์มากขึ้น ปรับการทำงานต่างๆ ร่วมกันให้ไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งจะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเดินทางลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่วนปัญหาด้านกำลังเจ้าหน้าที่จะใช้หลักบูรณาการ 2 เสาหลัก ทั้ง ศอ.บต.และ กอ.รมน. ในการทำงานทั้งการติดตามคดีต่างๆ รวมทั้งดูแลป้องกันด้านความมั่นคง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ทางรองนายกรัฐมนตรี กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ได้เดินทางลงมาพบปะกับกลุ่มผู้ประกอบการค้าในพื้นที่แล้ว ก็จะนำปัญหาที่ได้รับฟังมาร่วมกันแก้ไขต่อไป รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ

**กำลัง3ฝ่ายปัตตานีคุมเข้มทุกพื้นที่

รายงานข่าวแจ้งว่า การลงพื้นที่ประชุมร่วมหน่วยงานด้านความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ทาง พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผบ.ฉก.ปัตตานี ได้มีคำสั่งด่วนให้หน่วยปฏิบัติการ 3 ฝ่ายทั้ง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จัดกำลังคุมเข้มทั่วทั้งพื้นที่ โดยให้มีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดเข้มตามเส้นทางหลัก และเส้นทางรอง ตรวจค้นรถและบุคคลเป้าหมาย

ส่วนพื้นที่ชุมชนเมืองให้จัดกำลัง พร้อมประสานกำลังประชาชนในแต่ละชุมชนร่วมเฝ้าระวัง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดีก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ ตลอดจนยังอยู่ในห้วงเฝ้าระวังป้องกันก่อน 3 วันและหลัง 3 วัน ครบรอบ 8 ปี มัสยิดกรือเซะ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามอาจต้องการแสดงให้เห็นศักยภาพในการก่อเหตุเพื่อท้าทายอำนาจนายกรัฐมนตรีได้

ทั้งนี้ ยังได้กำชับให้มีการตรวจตราและติดตามหารถต้องสงสัยที่หน่วยข่าวความมั่นคงแจ้งเตือนกลุ่มผู้ก่อเหตุยังคงมีความพยายามนำเข้ามาก่อเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่อีกจำนวน 3 คัน และยังสั่งการห้ามมิให้มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยทหารด้วย

สำหรับวันครบรอบ 8 ปี เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะในวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมาในพื้นที่ จ.ปัตตานีไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งกำลังส่วนใหญ่ยังคงให้มีการเฝ้าระวังต่อไปจนถึงสิ้นเดือนนี้

**ตร.นราฯบุกจับRKKมือวางบึ้ม

วันเดียวกันช่วงเวลา 11.00 น.ที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบก.ภ.จ.นราธิวาส พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ได้เบิกตัวนายอำพัน วาเงาะ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/2 ม.1 ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส มาทำการแถลงข่าว ซึ่งนายอำพัน เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา ที่ 130/2555 ในคดีร่วมกับพวกอีก 4 คนลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ประกอบไว้ในถังก๊าซหนัก 50 กก.จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารก่อนซุกไว้ที่เบาะที่นั่งด้านหลังของรถยนต์กระบะอีซูซุ 4 ประตู สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กข 8315 นราธิวาส โดยเหตุเกิดบริเวณหน้าชุมสายองค์การโทรศัพท์แว้ง ริมถนนสายแว้ง-สุไหงโก-ลก ม.1 ต.แว้ง อ.แว้ง เมื่อเวลา 11.057 น.ของวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ไว้ได้สำเร็จ ซึ่งนายอำพัน ทำหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อสำรวจเส้นทางก่อนก่อเหตุ

ต่อมา พ.ต.อ.สะท้านฟ้า วามะสิงห์ ผกก.สืบสวน ภ.จ.นราธิวาส ได้สืบทราบหลังทำการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด โดยได้ทำการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อเหตุที่มีทั้งหมด 5 คน ก่อนนำกำลังกว่า 30 นายบุกจับกุมสมาชิก RKK ที่ร่วมก่อเหตุกับนายอำพัน วาเงาะ ได้ 3 รายเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา คือ 1.นายนาซอรี อิบบราเฮง อายุ 31 ปี ทำหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2. นายอับดุลเลาะ สะมะแอ อายุ 38 ปี ทำหน้าที่ขับรถยนต์ที่ใช้เป็นคาร์บอมบ์ไปยังจุดเกิดเหตุ และ 3. นายเตาฟิก อีลา อายุ 24 ปี ทำหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์สำรวจเส้นทาง ล่าสุดทั้ง 3 รายถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศชต.และขยายผลจนสามารถจับกุมนายอำพัน วาเงาะ ได้เมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้ ส่วนนายอาหามะ ดอเลาะแม แกนนำ RKK ที่มีหมายจับ ป.วิอาญาหลบหนีการจับกุมไปได้

ส่วนของกลางที่ตรวจยึดได้ อาทิ รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ 4 ประตู สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กข 8315 นราธิวาส ที่เป็นเลขทะเบียนของรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลตก่อนถูกดัดแปลงจากเลขทะเบียน 3315 เป็น 8315 และใช้เป็นคาร์บอมบ์ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวนี้ถูกปล้นจากพื้นที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 2 ก.พ.55 หลังก่อเหตุยิงนายวชิระ จันทร์ทิตย์ เสียชีวิตหน้าบ้านพัก รวมทั้งรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ทะเบียน ขคต 424 นธ. จักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีน้ำเงิน ทะเบียน ขคม 697 นธ. หมวกกันน็อก เสื้อและกางเกง ถังก๊าซ ปุ๋ยยูเรีย น้ำมันเบนซิน โดยเจ้าหน้าที่จะได้ส่งตัวนายอำพันไปยังศูนย์พิทักษ์สันติ ศชต.เพื่อสอบขยายผลเชื่อมโยงเหตุป่วนใต้คดีอื่นๆ ในพื้นที่ต่อไป

**เพลิงไหม้ รร.นิคมพัฒนาฯวอด

ก่อนหน้านี้เวลา 23.50 น.คืนวันที่วันที่ 28 เม.ย. ร.ต.ท.อัครวุฒิ ชุกชื่น พนักงานสอบสวน สภ.สุคิริน จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้อาคารเรียนของโรงเรียนนิคมพัฒนา 10 ซึ่งตั้งอยู่ ม.1 บ.กะลูบี ต.มาโมง อ.สุคิริน จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.จงใจรักษ์ คงเผ่า ผกก.สภ.สุคิริน กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของเทศบาล อ.สุคิรินรุด เดินทางเข้าที่เกิดเหตุ พบอาคารเรียนของโรงเรียนนิคมพัฒนา 10 กำลังเกิดเพลิงลุกไหม้อาคารเรียนซึ่งปลูกสร้างด้วยไม้ที่อยู่ในสภาพเก่า เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันฉีดน้ำเพื่อสกัดเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากอาคารเรียนหลังดังกล่าวปลูกสร้างด้วยไม้มานานกว่า 30 ปี ทำให้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี ทำให้อาคารเรียนถูกเพลิงไหม้จนวอดหมดทั้งหลัง

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุชุด ชรบ.3 คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ รปภ.โรงเรียนได้เห็นเปลวไฟลุกไหม้ที่บริเวณชั้น 2 จึงได้พากันวิ่งไปดูเห็นประกายไฟพุ่งออกมาจากอาคารเรียนก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็ว ชรบ.ทั้ง 3 คนจะเข้าไปทำการดับไฟก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีประตูเหล็กปิดกั้น จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเข้ามาทำการฉีดน้ำเพื่อดับไฟดังกล่าว ส่วนสาเหตุจะเป็นการวางเพลิงหรือไม่ หรือจากสาเหตุอื่น อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ สำหรับมูลค่าความเสียหายของอาคารเรียนเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่าเกือบ 10 ล้านบาท.
กำลังโหลดความคิดเห็น