ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจ ใคร่รู้กันของสังคมกันอย่างต่อเนื่องกับผลงานของสภาผู้แทนราษฎรที่สร้าง ชื่อเสีย ดังกระหึ่มไปทั่วโลกอย่าง กรณี ระหว่างการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291/1 โดยเกิดเหตุไม่คาดฝันในห้องประชุมชนิดที่สร้างความตื่นตกใจให้กับบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่อยู่ในห้องประชุมไปตามๆ กัน
เนื่องจากได้ปรากฏภาพนิ่งของหญิงสาวใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว นุ่งกางเกงชั้นในซีทรูลักษณะท่อนล่างเกือบเปลือยทั้งหมด นั่งชันเข่าซ้ายบนเก้าอี้ อ้าขาโชว์อวัยวะเบื้องล่างอล่างฉ่างขึ้นโชว์บนจอมอนิเตอร์บริเวณด้านซ้ายมือตรงข้ามบัลลังก์ของประธานในที่ประชุม โดยมีการปล่อยภาพโป๊ดังกล่าวออกมาเป็นช่วงๆ ช่วงละ 5 วินาที ประมาณ 3 รอบสลับกับภาพภายในห้องประชุม
ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ฉาวโฉ่ขึ้น ทางสภาฯก็ได้ลุกลี้ลุกลนออกมาชี้แจง หาตัวคนทำผิดกันจ้าละหวั่น โดย "คัมภีร์ ดิษฐากรณ์" รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวขึงขังว่าหากพบว่ามีความผิด จะถือว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง หากไม่ถูกไล่ออก ก็จะปลดออก เพราะถือว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงของสภา จึงต้องได้เชิญเจ้าหน้าที่จากบริษัท กสท.โทรคมนาคม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีของสภาผู้แทนราษฎร มาตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาข้อมูลทางเทคนิค
การตรวจสอบเริ่มจากหาข้อมูลการเชื่อมต่อของจอทีวีพลาสมาในห้องสภายี่ห้อ LG รุ่น 65 LW 6500 ขนาด 65 นิ้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ กสทฯ ได้นำโทรศัพท์ตระกูลสมาร์ทโฟนต่างๆ มาทดสอบ ว่ามีรุ่นไหนยี่ห้ออะไรบ้าง ที่สามารถเชื่อมต่อสัญญากับจอพลาสมารุ่นดังกล่าวได้บ้าง
การทดลองกับไอโฟนและไอแพดไม่ได้ผล เพราะปรากฏว่าในตัวระบบของจอพลาสมาได้แสดงคำร้องขอรหัสผ่านมายังไอโฟนและไอแพด ขณะที่เมื่อทดลองกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ "ซัมซุง" ทั้งตระกูล Galaxy Note และ Galaxy tab กลับมาสามารถเชื่อมโยงกับจอพลาสมาและส่งภาพนิ่งเข้าไปในทีวีได้ ไม่เหมือนกับการทดลองกับอุปกรณ์ของแอปเปิล โดยมีบุคคลใช้โทรศัพท์อัจฉริยะรุ่นนี้เชื่อมต่อสัญญาณWi-Fi ของรัฐสภา 86 เครื่อง
และแล้วดูเหมือนสิ่งที่หลายๆ คนคาดการณ์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผ่านพ้นไปไม่กี่วัน เจ้าเก่า อย่างนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาจบแสดงตอนจบของเรื่องนี้ว่า ไม่มีอุปกรณ์ที่บันทึกประวัติการใช้งาน ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลการใช้งานที่ข้ามวันได้ จากหนังสือยืนยันของบริษัทแอลจี ประเทศเกาหลี ถึงการบันทึกข้อมูลการเชื่อมต่อสัญญาณ ไวไฟ ดองเกิล กับโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น จึงไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ที่เป็นผู้ปล่อยภาพโป๊ขึ้นสู่จอทีวีพลาสม่าได้ สำหรับประเด็นการตรวจสอบถือว่าแล้วเสร็จแล้ว จากกนี้จะเตรียมทำรายงานเสนอต่อประธานรัฐสภาต่อไป
เรียกว่า เป็นการตัดบท จบเรื่องจบราวชนิดหาแพะมารับผิดชอบแม้แต่คนเดียว รอดทั้งปลาใหญ่ยันไปถึงปลาซิว ปลาสร้อยเลยทีเดียว ซึ่งก็คงต้องบอกว่า ไร้น้ำยาสิ้นดี สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐสภาไทยที่ไม่สามารถกู้ชื่อประเทศไทย แถม ทำให้เรื่องนี้ฉาวโฉ่ไปถึงต่างบ้านต่างเมือง ทั้งเย้ยหยัน ประณามรัฐสภาไทยแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรี แต่สุดท้ายกลับทำงามหน้าด้วยการจับคนผิดมาลงโทษไม่ได้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เอาอ่าวของเจ้าหน้าที่สภาไทย เข้าไปอีก
ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งคือกรณี นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ใช้เครื่องมือสื่อสารเปิดดูรูปโป๊ในระหว่างการทำหน้าที่สมาชิกรัฐสภาประชุมสภาฯ นั้น ต้องบอกว่าถูกฝ่ายพรรคเพื่อไทยนำไปขยายผลว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับภาพโป๊ที่ไปโผล่หราอยู่กลางสภา และสบช่องนำไปถล่มขยายแผลทางการเมืองให้บานปลายหนักกันอย่างอึกทึกครึกโครม
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและโฆษกพรรค กล่าวว่า นายณัฏฐ์ไม่ควรกระทำ เพราะรัฐสภาอยู่ในเขตพระราชฐาน และไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม สมาชิกรัฐสภาที่ร่วมประชุมอยู่ด้วยเสื่อมเสียชื่อเสียงและยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สภาไทยในสายตานานาประเทศ ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับ ส.ส.อินเดีย ซึ่งที่สุดก็ลาออก
ตามมาด้วย นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ถ้าเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นกับ ส.ส.ในต่างประเทศ ป่านนี้ลาออกไปแล้ว และเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากคนกระทำเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยคงออกมารุมสหบาทาจมธรณีไปแล้ว วันนี้มาตรฐาน ปชป.อยู่ที่ไหน
ทั้งนี้ คงต้องบอกว่าช่างเป็นท่าทีที่ขึงขัง จริยธรรมพรั่งพรู สร้างภาพทำตัวเป็นผู้แทนที่ดีของชาวไทยเสียเหลือเกินสำหรับพรรคเพื่อไทย กระทั่งคงจะลืมไปสิ้นเชิงเสียแล้วว่า กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ก็เป็นคนของพรรคตัวเองที่ได้สร้างชื่อในเรื่องเสื่อมเสียมาแล้วด้วยเช่นกัน ในผลงานเอกระอุของ เป็ดเหลิม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่อาจหาญกล่าวกลางสภาฯ โดยแก้ตัวคำกล่าวหาของ นางรังสิมา รอดรัศมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ว่า มีอาการคล้ายมึนเมาว่า "พูดอย่างนี้ไม่ถูก พูดไม่ได้ ผมไม่ได้เมาเหล้า แต่เมารัก คุณเข้าใจผิด"
หรือจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของ ผู้นำรัฐบาล อย่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีภารกิจลับ ว.5 หนีประชุมสภาฯ ไปโรงแรมโฟร์ซีซั่น จนเป็นประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวด์ กันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยทั้งสองกรณี ก็ยังไม่ได้มีการตรวจสอบแต่อย่างใด เรียกว่าเข้าอีหรอบเดิมกลับกลายเป็นสงครามน้ำลายการเมืองกันแบบชนิดหาสาระอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าความวุ่นวายในสภาก็หาได้จบเพียงแค่นั้น เพราะยังมีเหตุการณ์ฉาวโฉ่อย่างต่อเนื่อง เมื่อนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รสนา โตสิตระกูลส.ว.กทม.นายสมชาย แสวงการ สว.สรรหา ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมภาพมี ส.ส.คนหนึ่งกดบัตรแทนเพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทยในวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมเรียกร้องให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการสอบสวนเพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ฉับพลันทันที ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ได้เล่นเกมการเมืองโต้กลับทันทีโดย นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้นำหลักฐานภาพถ่ายช่วงการลงมติพระราชบัญญัติขนส่งว่าด้วยการปรับปรุงน้ำหนัก และร่างพระราชบัญญัติการกำหนดน้ำหนักรถยนต์ส่วนบุคคล เมื่อวันที่ 14 มี.ค. แถลงต่อสื่อมวลชน ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมในขณะนั้น แต่ผลการลงมติกลับมีชื่อ นายอภิสิทธิ์ เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ
เฉกเช่นเดียวกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ที่ออกมาเสนอหน้าเช่นกัน โดยระบุว่ามีคลิปภาพยืนยันว่ามีสมาชิกรัฐสภากดบัตรแสดงตนและโหวตแทนกัน ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วาระ 1 และวาระ 2 จริง พร้อมั้งประกาศเตรียมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาทันทีภายหลังจากที่รัฐสภามีมติโหวตผ่านร่างรัฐธรรมนูญในวาระ3
ร้อนรนถึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำคนเสื้อแดง จนต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ของ นายใหญ่แห่งดูไบ โดยบอกว่า ขณะนี้มีบางฝ่ายที่นั่งอยู่ในสภาฯอยากให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอันเป็นไปตลอดเวลา ทั้งการเตะถ่วง หรือ พยายามล้มกระดานการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอดอยู่แล้ว
ทั้งหมดคือความวุ่นวายในสภาที่สะท้อนภาพให้เห็นว่าพอกันในพฤติกรรมของส.ส.แต่ละพรรค ที่รังแต่จะคอยสร้างปัญหากันเองให้วุ่นวายและส่อให้เห็นเห็นถึงความไม่รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ในการทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน และต้องบอกอีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือพฤติกรรมของ ส.ส.ที่กินเงินเดือนกว่าแสนจากภาษีแผ่นดิน แต่เมื่อดูพฤติกรรมไม่ว่าพรรคไหนด้วยแล้ว ก็คงต้องบอกได้ว่าสุดเสื่อมเอือมระอากับท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายเหลือเกินจะทน
ยิ่งเมื่อมาดูผลสำรวจของของสวนดุสิตโพล ปรากฏว่าร้อยละ 83.44 เห็นว่า มีผลกระทบทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทยดูแย่ลง เช่นนี้แล้วคงจะไม่ต้องพูดซ้ำอีกหลายรอบว่า ใครเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ ตัวจริงเสียงจริง เพราะ ความจริงก็ปรากฏอยู่ให้เห็นทุกวันอยู่แล้ว