ผมจะกล่าวประวัติความเป็นมาของสงกรานต์เพราะหลายท่านคงทราบแล้ว แต่อยากเน้นให้เห็นว่า ตั้งแต่เราได้รับอิทธิพล “สงกรานต์” มาจากอินเดีย ตกมาถึงอิทธิพลเขมรและมาปรับปรุงแก้ไขจนเป็นแบบเฉพาะมาถึงทุกวันนี้ ไม่มีการสาดน้ำเล่นสงกรานต์กันอย่างปัจจุบันอย่างแน่นอน “สงกรานต์” คือ การใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นพิธีกรรม เฉกเช่นเดียวกันกับประเพณีจองเปรียงหรือลอยโคมซึ่งต่อมาเราเรียกว่า “ลอยกระทง” ในสมัยอยุธยาเราพบหลักฐานจากชาวยุโรป เช่น นายเยเรเมียส ฟานฟลีท ผู้อำนวยการสถานีการค้าฮอลันดา ประจำกรุงศรีอยุธยา ฟานฟลีทได้กล่าวถึงการทำบุญกระดูกอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย “ชาวสยามมักมารวมตัวกันเพื่อการทำบุญ” ในบทพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงเดือนห้าว่า
เดือนห้าอ่าโฉมงาม การออกสนามตามพี่ไคล
สงกรานต์การบุญไป ไหว้พระเจ้าข้าวบิณฑ์ถวาย
เดือนห้าอ่ารูปล้า โฉมฉาย
การออกสนามเหลือหลาย หลากเล้น
สงกรานต์การบุญผาย ตามพี่
พระพุทธรูปฤๅเว้น แต่งเข้าบิณฑ์ถวาย
เดือนห้าตอนปลายกรุงศรีอยุธยากล่าวในท่วงทำนองว่าสงกรานต์คือพิธีบุญขึ้นปีใหม่ เพราะการสรงสนานเป็นขบวนแห่เปลี่ยนปี อนึ่งในบทพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้เราเห็นภาพวันสงกรานต์ชัดขึ้น เป็นการทำบุญขึ้นปีใหม่ สรงสนาน รดน้ำดำหัว ก่อพระเจดีย์ทราย และทำบุญกระดูก ประพรมน้ำเพื่อคลายร้อน มีการกล่าวถึงตำนานของสงกรานต์เป็นเรื่องเล่าปะปนความเชื่อประลองปัญญาระหว่างธรรมบุตรผู้มีปัญญาเฉียบแหลมชาญฉลาดกับท้าวกบิลพรหม ผู้เป็นบิดานางทั้งเจ็ด (ซึ่งต่อมาใช้เป็นสัญลักษณ์นางสงกรานต์หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป) ฝ่ายหลังได้รับความพ่ายแพ้และตัดศีรษะตนเอง มอบให้ธิดาทั้ง 7 ให้ปกปักรักษาและทำการเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ อันเป็นการเปลี่ยนดิถีขึ้นปีใหม่
พระราชพิธีสิบสองเดือนเฉพาะเดือนห้าทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับน้ำ ความเชื่อว่าน้ำมีความสำคัญศักดิ์สิทธิ์และเป็นของหายากในฤดูแล้งอย่างเดือนห้า
บัดนี้ในฐานะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่หน้าไหว้หลังหลอก เราจะเห็นว่าพอเดือนห้ามาถึงเราสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ทำลายสิ่งดีงามของพิธีกรรม แล้วนำน้ำไปเล่นกันอย่างลบหลู่ดูหมิ่น แต่พอถึงเดือนสิบสองเราไปสมาน้ำขอขมาที่ได้กระทำล่วงเกินน้ำต่อพระแม่คงคา
สงกรานต์ตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นเพียงสัญลักษณ์ปีใหม่ไทย ขายสงกรานต์ไปในทางเสื่อม อาบอบนวดบางแห่งจัดแคมเปญ ลดแลกแจกแถมเพื่อให้นักเที่ยวไปใช้บริการในวันสงกรานต์ ไม่นับรวมถึงการไปเล่นน้ำข้างถนนกระทำการหลบหลู่น้ำอย่างเมามัน จัดย่านถนน ตรอกซอกซอยปิดการจราจรเพื่อเล่นน้ำกัน ปะแป้งโดยหารู้ไม่ว่ากระทำการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ สาดน้ำกันจนเป็นเรื่องถูกต้อง ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ยังไม่มีการสาดน้ำข้างถนนแบบนี้ ดังนั้น หลักประเมินจากการศึกษาเอกสารหลักฐานและภาพถ่ายสงกรานต์ที่เล่นสาดน้ำกันอย่างเมามันมั่วๆ นี้เริ่มขึ้นหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 นั่นเอง เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมน้ำจากวัดสู่ถนน
เมื่อราชการปล่อยให้คนเล่นน้ำสงกรานต์ผิดๆ มาหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันจึงไม่มีใครจะเข้าใจ ต่างกลับคิดว่า “สงกรานต์คือการสาดน้ำ หากไม่สาดน้ำจะเรียกว่าสงกรานต์ได้อย่างไร” การที่จะห้ามเล่นก็จะมีผู้เสียประโยชน์ตั้งแต่คนขายปืนฉีดน้ำ แป้งเม็ด ถุงพลาสติก และความรู้สึกว่าหากไม่มีการสาดน้ำจะเรียกว่าสงกรานต์ได้อย่างไร ปัจจุบันนี้เราได้ถูกทำลายสงกรานต์ที่ดีงามไปแล้ว และคนที่ทำลายไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากชนชาวสยามซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คนไทย
เดือนห้าอ่าโฉมงาม การออกสนามตามพี่ไคล
สงกรานต์การบุญไป ไหว้พระเจ้าข้าวบิณฑ์ถวาย
เดือนห้าอ่ารูปล้า โฉมฉาย
การออกสนามเหลือหลาย หลากเล้น
สงกรานต์การบุญผาย ตามพี่
พระพุทธรูปฤๅเว้น แต่งเข้าบิณฑ์ถวาย
เดือนห้าตอนปลายกรุงศรีอยุธยากล่าวในท่วงทำนองว่าสงกรานต์คือพิธีบุญขึ้นปีใหม่ เพราะการสรงสนานเป็นขบวนแห่เปลี่ยนปี อนึ่งในบทพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำให้เราเห็นภาพวันสงกรานต์ชัดขึ้น เป็นการทำบุญขึ้นปีใหม่ สรงสนาน รดน้ำดำหัว ก่อพระเจดีย์ทราย และทำบุญกระดูก ประพรมน้ำเพื่อคลายร้อน มีการกล่าวถึงตำนานของสงกรานต์เป็นเรื่องเล่าปะปนความเชื่อประลองปัญญาระหว่างธรรมบุตรผู้มีปัญญาเฉียบแหลมชาญฉลาดกับท้าวกบิลพรหม ผู้เป็นบิดานางทั้งเจ็ด (ซึ่งต่อมาใช้เป็นสัญลักษณ์นางสงกรานต์หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป) ฝ่ายหลังได้รับความพ่ายแพ้และตัดศีรษะตนเอง มอบให้ธิดาทั้ง 7 ให้ปกปักรักษาและทำการเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ อันเป็นการเปลี่ยนดิถีขึ้นปีใหม่
พระราชพิธีสิบสองเดือนเฉพาะเดือนห้าทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับน้ำ ความเชื่อว่าน้ำมีความสำคัญศักดิ์สิทธิ์และเป็นของหายากในฤดูแล้งอย่างเดือนห้า
บัดนี้ในฐานะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่หน้าไหว้หลังหลอก เราจะเห็นว่าพอเดือนห้ามาถึงเราสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ทำลายสิ่งดีงามของพิธีกรรม แล้วนำน้ำไปเล่นกันอย่างลบหลู่ดูหมิ่น แต่พอถึงเดือนสิบสองเราไปสมาน้ำขอขมาที่ได้กระทำล่วงเกินน้ำต่อพระแม่คงคา
สงกรานต์ตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นเพียงสัญลักษณ์ปีใหม่ไทย ขายสงกรานต์ไปในทางเสื่อม อาบอบนวดบางแห่งจัดแคมเปญ ลดแลกแจกแถมเพื่อให้นักเที่ยวไปใช้บริการในวันสงกรานต์ ไม่นับรวมถึงการไปเล่นน้ำข้างถนนกระทำการหลบหลู่น้ำอย่างเมามัน จัดย่านถนน ตรอกซอกซอยปิดการจราจรเพื่อเล่นน้ำกัน ปะแป้งโดยหารู้ไม่ว่ากระทำการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ สาดน้ำกันจนเป็นเรื่องถูกต้อง ในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ยังไม่มีการสาดน้ำข้างถนนแบบนี้ ดังนั้น หลักประเมินจากการศึกษาเอกสารหลักฐานและภาพถ่ายสงกรานต์ที่เล่นสาดน้ำกันอย่างเมามันมั่วๆ นี้เริ่มขึ้นหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 นั่นเอง เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมน้ำจากวัดสู่ถนน
เมื่อราชการปล่อยให้คนเล่นน้ำสงกรานต์ผิดๆ มาหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันจึงไม่มีใครจะเข้าใจ ต่างกลับคิดว่า “สงกรานต์คือการสาดน้ำ หากไม่สาดน้ำจะเรียกว่าสงกรานต์ได้อย่างไร” การที่จะห้ามเล่นก็จะมีผู้เสียประโยชน์ตั้งแต่คนขายปืนฉีดน้ำ แป้งเม็ด ถุงพลาสติก และความรู้สึกว่าหากไม่มีการสาดน้ำจะเรียกว่าสงกรานต์ได้อย่างไร ปัจจุบันนี้เราได้ถูกทำลายสงกรานต์ที่ดีงามไปแล้ว และคนที่ทำลายไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากชนชาวสยามซึ่งปัจจุบันเรียกว่า คนไทย