นิทานอีสปที่มีมาอย่างยาวนานเรื่อง “กบเลือกนาย” ที่พูดถึงเหล่ากบทั้งหลายที่เคยอยู่ดีมีสุข วันดีคืนดีอยากส่งเสียงร้องเหมือนดังนกและแมลงซึ่งกบคิดว่ามีความไพเราะกว่าตัวเอง จึงคิดจะหา “เจ้านายผู้ปกครองสั่งสอน” กบทั้งหลายจึงไปขอต่อ “เทพเจ้า” ให้ส่ง “เจ้านาย” มาช่วยปกครองสั่งสอนเพื่อที่จะได้มาปกครองเหล่ากบ สั่งสอน ลงโทษและให้รางวัลกับเหล่ากบได้ และจะได้ทำให้กบทั้งหลายได้ส่งเสียงร้องเพลงได้ไพเราะด้วย
เทพเจ้าได้เตือนกบว่าที่ผ่านมาเหล่ากบก็มีความสุขดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ก็ปรากฏว่าเหล่ากบทั้งหลายไม่มีความพอใจและยังคงอ้อนวอนไม่เลิก เทพเจ้าจึงเมตตาให้ด้วยการมอบท่อนไม้ 1 ท่อน ให้มาเป็นเจ้านาย ช่วงแรกขอนไม้ทำให้กบกลัวกระโดดหนีหาย
ต่อมากบจึงรู้ว่าขอนไม้ทำอะไรไม่ได้สอนร้องเพลงไม่ได้ จึงต่างพากันกระโดดขย่มขอนไม้ด้วยความดูถูกเกลียดชัง และไปขอเทพเจ้าให้ช่วยประทาน “เจ้านายใหม่” ที่มีอำนาจที่แท้จริงให้คุณให้โทษสามารถสอนกบให้ส่งเสียงได้เหมือนนก
เทพเจ้าจึงได้สอบถามว่าต้องการนกมาเป็นเจ้านายใช่ไหม และได้เตือนว่าอย่าได้เสียใจในภายภาคหน้า เมื่อเทพเจ้าได้ประทานนกกระสาแล้วเหล่ากบจึงดีใจ รีบเข้าไปขอให้นกกระสาสอนร้องเพลง แต่นกกระสากลับกินกบเหล่านั้นในที่สุด แม้กบเหล่านั้นจะกลับไปขอเทพเจ้าให้เอานกกระสาคืนไป แต่เทพเจ้าก็ได้บอกว่าเมื่ออยู่กันสบายๆ ดีๆ ก็ไม่พอใจ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ต้องทนกันไปเอาเอง
ภาพที่ 1 ไม่ว่ากบสีอะไร หากมัวแต่หลงผิดคิดว่านกกระสาเป็นเจ้านาย เพียงเพราะถูกหลอกว่าเป็นสีเดียวกัน เมื่อนั้นกบทั้งหลายไม่ว่าสีอะไรต่างก็จะถูกนกกระสากินอยู่ร่ำไป
แม้นิทานอีสปเรื่องนี้จะสอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นก็ตาม แต่อีกนัยหนึ่งก็คือสอนให้รู้ว่ากบต้องรู้จักปกครองกันเอง อย่าให้สัตว์อื่นที่คิดแต่จะหาประโยชน์มากินกบจนหมดสิ้น
เพราะนกกระสาก็ย่อมเป็นนกกระสาวันยังค่ำ นกกระสาก็ยังคงกินกบอยู่ต่อไป และนกกระสาก็จะไม่กินนกกระสากันเอง!!!
จากนิทานอีสปเรื่องดังกล่าวกบควรจะเรียนรู้ได้ว่านกกระสาเป็นภัยแก่กบอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากสังคมยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เหล่านกกระสาจึงต้องมีพัฒนาการในการแบ่งบทกันเล่นเพื่อจะได้กินกบหมดทั้งบึงในยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะถ้าจินตนาการเปรียบเทียบการถูกกินของกบ และการกินของนกกระสา กับ “ความยากจน” และ “ความร่ำรวย” ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีของ “ราคาน้ำมัน” ที่ประชาชนเดือดร้อนกับปัญหาข้าวยากหมากแพงทุกหย่อมหญ้า แต่สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มทุนและพรรคการเมืองอย่างมหาศาล โดยที่นักการเมืองแค่ใช้เล่ห์กลหลอกลวงประชาชนมาทุกยุคทุกสมัย
เริ่มต้นด้วย 12 ปีที่แล้ว หลังจากที่เหล่านกกระสาทั้งหลายต่างได้ทยอยมาบินกินกบสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ปรากฏว่ามี “นกกระสาฝูงใหญ่สีแดง” ได้รวมตัวกัน โดยมีหัวหน้าฝูงหัวใสใช้วิธีคาบเหยื่อตัวเล็กๆ มาให้กบ เช่น หนอน แมลง กบทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาเหล่านกกระสาเป็นแน่
ผลปรากฏว่าด้วยวิธีการดังกล่าวเหล่ากบทั้งหลายต่างดีใจเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานกกระสาฝูงอื่นๆ ที่สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่เคยให้อาหารกับกบเลย จึงคิดว่า “นกกระสาฝูงแดง” เหล่านี้เป็นฝูงที่แท้จริงซึ่งเทพเจ้าประทานมาให้ เพราะมีความเมตตากบอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นกบทั้งหลายจึงกระโดดเข้าไปในบริเวณนกกระสาฝูงแดงเป็นจำนวนมาก
ระหว่างนั้นเองเหล่ากบที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินเหยื่อรู้สึกซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณนกกระสาแดงเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เคยรู้ว่าในระหว่างนั้นเหล่านกกระสากำลังกินกบอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหมีพีมันอย่างที่นกกระสาฝูงอื่นไม่เคยได้มาก่อน
จนนกกระสาฝูงแดงนี้กินกบได้มากมาย ร่างกายจึงใหญ่โตแข็งแรงมากกว่านกกระสาฝูงอื่น โดยเฉพาะหัวหน้าฝูงนกกระแสแดงนั้นกินกบมากกว่านกกระสาตัวใด จึงกลายเป็นนกกระสายักษ์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่บึงแห่งนี้เคยมีมา
ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย หัวหน้านกกระสาฝูงแดงจึงบินไปคาบตาข่ายของมนุษย์มาคลุมบริเวณบึงที่ฝูงแดงอยู่ทั้งหมด โดยหมายที่จะสัมปทานกินกบบึงนี้เกือบทั้งหมดเอาไว้สำหรับนกกระสาแดงฝูงนี้แต่เพียงฝูงเดียว โดยไม่ให้นกกระสาฝูงอื่นมายุ่งเกี่ยว และบอกกับเหล่ากบว่าตาข่ายนี้เป็นตาข่ายเพื่อความสวยงามเพราะบึงแห่งนี้จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าตลอดไป
ด้วยที่หัวหน้าฝูงนกกระสาแดงแห่งนี้ร่างกายใหญ่ตัว และเป็นต้นคิดเจ้าเล่ห์สุดและเป็นตัวที่หาตาข่ายมา จึงต้องได้รับอาหารมากที่สุด ฝูงนกกระสาแดงตัวใดหากนำกบมาบรรณาการกับหัวหน้าฝูงได้มากหน่อย ก็ได้อยู่คอยใกล้ๆ กับหัวหน้าฝูงนกกระสาแดงซึ่งจะทำให้มีโอกาสกินเศษอาหารกบมากเท่านั้น แต่นกกระสาตัวใดกินกบเองโดยไม่เอามาให้กับหัวหน้าฝูง หรือส่งเสียงโวยวาย ก็จะถูกขับไล่ออกไปนอกตาข่ายในที่สุด
ส่วนเหล่านกกระสาฝูงอื่นๆ ได้แต่มองตาปริบๆ คิดว่าชาตินี้ฝูงของตัวเองคงหมดโอกาสที่จะกินกบในบึงนี้ตลอดไปแน่ๆ โดยเฉพาะ “ฝูงนกกระสาสีฟ้า” ที่ผอมแห้งแรงน้อยทุกวัน ส่วน “ฝูงนกกระสาสีเขียว” ก็นับวันรอเศษอวัยวะกบที่กระเด็นมาจากบึงบ้างถ้าทำตัวดีให้ “หัวหน้าฝูงแดง”พอใจ
4 ปีต่อมาเป็นช่วงเวลาหมดสัญญาแบ่งเขตกินกบในบึง ฝูงนกกระสาสีฟ้าก็พยายามคาบหาเหยื่อแมลงใหม่ๆ และหนอนพันธุ์ใหม่ๆ มาล่อเหล่าฝูงกบบ้าง แต่ก็ไม่สามารถตามทันความเจ้าเล่ห์ของหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงได้ เพราะหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงถึงขนาดบินไปขโมยคาบไฟนีออนของมนุษย์มาวางบริเวณบึงที่นกกระสาฝูงแดงอยู่ เพื่อจะได้ล่อแมลงมามากๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรง ทำให้เหล่ากบทั้งหลายต่างก็วิ่งเข้ามาหานกกระสาฝูงแดงมากมายสูงสุดในประวัติการณ์ของบึงแห่งนี้
1 ปีต่อจากนั้น ปรากฏว่ามี “กบเหลือง” ฝูงหนึ่งเกิดรู้ทันว่า นกกระสากำลังกินกบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งเสียงบอกกบทุกตัวให้รู้ว่าบัดนี้ “เรากำลังถูกกิน” และชี้ให้เห็นหลักฐานว่า 1. กบในบึงเราเหลือน้อยลงทุกวัน 2. นกกระสาอ้วนพีขึ้นทุกวันและตัวใหญ่มากขึ้น 3. ขี้นกกระสาสีแดงบริเวณนี้เพิ่มขึ้นมากแสดงว่าต้องกินกบเข้าไปมาก และ 4. ตาข่ายอยู่รอบๆ บึงนี้เต็มไปหมด แต่เหล่ากบในบึงก็เชื่อบ้างและไม่เชื่อบ้างเพราะส่วนใหญ่กบในบึงนี้ความจำสั้นและกำลังหลงระเริงอยู่กับเหล่าแมลงและหนอนที่หัวหน้านกกระสาหามาให้
พลันที่ฝูงกบทั้งหลายกำลังลังเลไม่แน่ใจ ฝูงกบเหลืองจึงชี้ให้กบในบึงทุกตัวดูหัวหน้ากระสาตัวใหญ่โลภมากกำลังกลืนกินกบ 76,000 ตัว อยู่ต่อหน้าต่อตา เหล่าฝูงกบจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มรู้ตัวรีบมุดกระโดดออกจากตาข่าย และเริ่มส่งเสียงร้อง โอ๊บ โอ๊บ มากขึ้นๆ ส่วนกบที่เหลือในตาข่ายก็ยังคงหลงระเริงและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับนกกระสาต่อไป เพราะฝูงนกกระสาแดงก็จะพยายามร้องเสียงดังกลบเหล่าเสียงฝูงกบสีเหลืองเช่นเดียวกันว่าเราคือผู้หาอาหารให้กบอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน
หัวหน้าฝูงนกกระสาแดงไม่พอใจ ลูกน้องและสาวกก็ต้องไม่พอใจด้วย ต่างสร้างผลงานเพื่อไม่ให้ใครมาขวางการกินกบ ด้วยการปลุกระดมให้ “กบแดง” ที่กำลังรู้สึกเป็นบุญคุณที่ได้แมลงและหนอนจากนกกระสาเข้าไปต่อสู้กับเหล่า “กบเหลือง” ผลปรากฏว่าขณะเกิดความวุ่นวาย “เหล่านกกระสาสีเขียว” อาศัยช่วงเวลาที่ “หัวหน้านกกระสาสีแดง” บินอยู่นอกตาข่ายเข้ายึดตาข่ายโดยทันที และไล่ “ฝูงนกกระสาสีแดง” ออกจากตาข่ายให้หมด เพราะอาศัยที่ว่านกกระสาฝูงสีเขียวแม้ตัวเล็กกว่า แต่ก็มีปากอันแหลมคมเป็นอาวุธยิ่งกว่านกกระสาฝูงใด
“เหล่ากบเหลืองและกบทั่วไป” ต่างดีใจกระโดดเข้าไปหา “นกกระสาสีเขียว” เพราะนกกระสาสีเขียวบอกว่าที่ต้องเข้ามาไล่นกกระสาสีแดงออกไปเพราะว่า “นกกระสาสีแดงกินกบมาก” และ “กบ 2 ฝ่ายทะเลากันมาก” ดังนั้นเราจึงต้องลงโทษนกกระสาสีแดงนั้นเสียและกลับมาสร้างความสงบในหมู่กบ ปรากฏว่านกกระสาสีเขียวอยู่ในบึงนั้น 1 ปีกว่าก็ทยอยกินกบเหมือนกัน และคอยจัดระเบียบให้นกกระสาฝูงแดงให้แยกกลุ่มกระจัดกระจายกันออกไปแบ่งกันกินกบในบึง
“หัวหน้านกกระสาสีแดง” จึงให้ลูกน้องนกกระสาส่งแมลงและหนอนให้กับเหล่า “กบสีแดง” ให้มีกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านสู้กับ “ฝูงนกกระสาสีเขียว” ระหว่างนั้น “นกกระสาสีเขียว” ก็เจรจากับ “หัวหน้านกกระสาฝูงแดง”ว่าจะไม่กวาดล้างล่าครอบครัวของหัวหน้านกกระสาสีแดง โดยหัวหน้านกกระสาสีแดงก็แบ่งกบในคลังอาหารของตัวเองให้ เพราะอย่างไรเสียนกกระสาก็ไม่ฆ่ากันเอง ขอเพียงแต่ว่าอย่ามากินกบรวบบึงเหมือนที่ผ่านมา
1 ปีผ่านไป ฝูงนกกระสาสีเขียว จึงตัดสินใจเปิดประมูลแบ่งเขตกินกบกันใหม่ระหว่างนกกระสาด้วยกัน ปรากฏว่า ด้วยความเจ้าเล่ห์ในการหาแมลงและหนอนมาให้กบกินตัวแทนหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงก็ได้รับชัยชนะอีกแล้วก็เข้ามากินกบอีก หลังจากนั้นหัวหน้าฝูงแดงได้บินกลับมาที่บึงก็ถูกกฎของป่าสั่งขังหัวหน้าฝูงแดงฐานขโมยไฟนีออนและขโมยตาข่ายของมนุษย์แถมยังกินกบมากไป แต่หัวหน้าฝูงแดงหนีออกจากบึงแห่งนั้นไปได้จึงยังไม่กล้ากลับมา สร้างความพึงพอใจให้กับนกกระสาทั่วไปที่ไม่มีนกตัวใหญ่มาแย่งอาหาร และกบทั่วไปก็พอใจที่ไม่ถูกกินจากนกตัวใหญ่ ยกเว้นกบที่ยังหลงใหลในเหยื่อแมลงและหนอนที่หัวหน้านกกระสาแดงเคยหามาให้ว่าเป็นบุญคุณอันเหลือล้นที่ไม่อาจทดแทนได้ กบเหล่านี้ถูกนกกระสาหลอกว่าเราเป็นพวกเดียวกันเพราะเรามีสีเดียวกันคือ “สีแดง”
ในที่สุด “กบสีเหลือง” ก็ต้องออกมาต่อสู้กับฝูงนกกระสาแดงอีกครั้ง เพราะคราวนี้จะมีความพยายามแก้ไขกฎของป่าให้หัวหน้านกกระสาฝูงแดงกลับมากินกบในบึงต่อ ส่วนนกกระสาสีแดงได้ปลุกระดมให้กบสีแดงออกมาสู้กับกบสีเหลือง และการต่อสู้ครั้งนี้กบสีเหลืองถูกนกกระสาโจมตีบุกเข้ากินจนเสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการไปเป็นจำนวนไม่น้อย ในขณะที่นกกระสาสีเขียวก็ถูกปรนเปรอด้วยกบให้เป็นอาหารจนอิ่มพอเพื่อที่จะไม่ได้เป็นภัยต่อฝูงนกกระสาสีแดง แต่ในที่สุดกฎของป่าก็ต้องลงโทษกลุ่มนกกระสาสีแดงอีกครั้งโทษฐานขี้โกงในการประมูลแบ่งเขตกินกบในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในที่สุดนกกระสาสีฟ้า และนกกระสาสีเขียว จึงดึงพวกนกกระสาสีแดงบางฝูงที่กินไม่อิ่มมาร่วมกันแบ่งเขตกินกบกันใหม่ และไล่นกกระสาแดงออกจากบึง คราวนี้นกกระสาสีฟ้าก็เริ่มกินกบเพิ่มมากขึ้นเพียงแต่สุภาพกว่าและส่งเสียงเพราะกว่า ทำให้กบสีเหลืองบางส่วนหลงใหลและอยากส่งเสียงได้ไพเราะต่างชื่นชอบเหล่านกกระสาสีฟ้าทั้งสิ้น
ส่วนกบสีเหลืองยังคงส่งเสียงร้องว่านกกระสากำลังกินกบเหมือนเดิม แต่เหล่ากบสีเหลืองบางส่วนต่างเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าเพราะบอกว่าอย่างไรเสียนกกระสาตัวนี้ก็ยังดีกว่าตัวที่แล้วเพราะสุภาพกว่าและส่งเสียงเพราะกว่า!?
เหล่า “นกกระสาสีฟ้า” และ “นกกระสาสีเขียว” เห็นว่า “กบฝูงเหลือง” รู้ว่าอย่างไรนกกระสาก็ต้องกินกบ และ “กบฝูงแดง” ก็จะรับใช้หัวหน้านกกระสาสีแดงที่คอยส่งแมลงและหนอนให้ ย่อมจะเป็นภัยกับตัวเอง จึงเริ่มดำเนินการสร้างภาพให้กบทั่วๆ ไปไม่มีสีให้เข้าใจว่า “กบมีสี” คือพวกวุ่นวาย ดังนั้น “นกกระสาสีฟ้า” และ “นกกระสาสีเขียว” จึงเริ่มจู่โจมหวังมัดกบฝูงเหลือง และจิกให้กบฝูงเหลืองพิการเป็นกลุ่มแรกๆ และถึงขนาดสมรู้ร่วมคิดจะรุมฆ่าและกินหัวหน้ากบฝูงเหลืองมาแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
ในขณะที่ “เหล่ากบแดง” ปลุกระดมให้สู้เพื่อหัวหน้านกกระสาฝูงแดง เข้าโรมรันกับนกกระสาสีฟ้า ผลปรากฏว่ากบเขียว (ลูกน้องหัวหน้านกกระสาสีเขียว) ตายบางส่วน เหล่ากบแดงก็ตายไปเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน จนในที่สุดเหล่านกกระสาสีฟ้าก็ปล่อยกบแดงและนกกระสาแดงเพื่อสร้างภาพให้เอาบุญคุณกับเหล่ากบทั้งหลายว่าเป็นนกที่มีความเมตตาสูง
ในที่สุดเหล่า “กบเหลือง” ก็ต้องส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้งเพื่อต่อต้านเหล่า “นกกระสาสีฟ้า” ที่คอยกินกบไม่เลิก แถมยังดำเนินการจะไปแบ่งปันบึงให้นกกระสาป่าอื่นมาร่วมกินกบด้วย จนกระทั่งทั้งกบเหลืองและกบแดงต่างก็ส่งเสียงดังต่อต้านนกกระสาสีฟ้า นกกระสาสีฟ้าได้ทีจึงตัดสินใจให้เปิดประมูลแบ่งเขตกินกบในบึงกันใหม่
คราวนี้นกกระสาสีฟ้าใช้วิธีส่งเสียงว่า ถ้าไม่กระโดดมาหานกกระสาสีฟ้า ระวังนกกระสาสีแดงที่นกกระสาสีฟ้าปล่อยออกมาเองจะเข้ามากินกบกันหมด เพราะอย่างไรเสียนกกระสาสีฟ้าก็สุภาพกว่าและส่งเสียงไพเราะกว่า แต่ปรากฏว่าเหล่ากบส่วนใหญ่ยังพอใจในเทคนิคการสัญญาว่าเหล่านกกระสาจะหาแมลงและหนอนมาให้มากกว่าเหล่ากบแดงจึงกระโดดไปหาฝูงนกกระสาสีแดงอีกครั้ง
เมื่อนกกระสากลับเข้ามาในบึงก็เริ่มทยอยกินกบในบึงอีกครั้ง ส่วนกลุ่มกบสีเหลืองรู้ทันจึงไม่กระโดดไปหานกกระสาฝูงไหนเลย และเห็นว่าการต่อสู้เพื่อให้นกกระสาผลัดมากินกบไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้นกับกบในบึง
ส่วนหัวหน้านกกระสาสีแดงได้ผ่านความวุ่นวายมาหลายปี จึงวิงวอนให้ “กบแดง”ทั้งหลายที่เสียชีวิตและบาดเจ็บสู้เพื่อ “หัวหน้านกกระสาสีแดง” ต้องรู้จักเสียสละความสงบส่วนใหญ่ในบึง เพียงเพราะ “หัวหน้านกกระสาสีแดงอยากกลับมากินกบที่บึงนี้อีกครั้ง”
ประโยคนี้ทำให้เหล่ากบแดงเริ่มคิดได้ว่า ถ้าเพียงแค่ต้องการให้กบแดงเสียสละชีวิตจำนวนมากเพื่อช่วยหัวหน้านกกระสาสีแดง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเหตุใดหัวหน้านกกระสาสีแดงไม่รู้จักเสียสละตนเองตั้งแต่ตอนแรก!?
น้องสาวหัวหน้านกกระสาสีแดง ที่เป็นหัวหน้าฝูงอยู่ในเวลานี้ ได้แบ่งปันพื้นที่ในบึงให้กับหัวหน้านกกระสาสีเขียว และสีอื่นๆ ในการแบ่งเขตกินกบในบึงและร่วมมือสามัคคีกับนกกระสากลุ่มอื่นๆ ในการกินกบมากขึ้น
หลายปีผ่านไปทำให้ “กบสีเหลือง” ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหาในเวลานี้เกิดจาก กบทั้งหลายมัวแต่หวังนกกระสามาเป็นเจ้านายและผู้ปกครองโดยไม่รู้จักปกครองตนเอง
ในขณะที่ “กบสีแดง” บางส่วนก็เริ่มเห็นแล้วว่า “นกกระสาสีแดง” ไม่มีความจริงใจกับกบแดงที่เป็นเหยื่อตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะหันไปจับมือกับนกระสาฝูงอื่นมากินกบมากขึ้น
เพราะสันดานของนกกระสาอย่างไรก็ไม่เคยเปลี่ยน คิดแต่ประโยชน์ที่จะหาทางกินกบอยู่ร่ำไป และบึงแห่งนี้จะสงบได้ก็ต้องไล่นกกระสาทุกสีออกไปจากบึงเท่านั้น จึงจะเกิดความสงบสุขที่แท้จริงกลับมาที่บึงได้!!!
เทพเจ้าได้เตือนกบว่าที่ผ่านมาเหล่ากบก็มีความสุขดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ก็ปรากฏว่าเหล่ากบทั้งหลายไม่มีความพอใจและยังคงอ้อนวอนไม่เลิก เทพเจ้าจึงเมตตาให้ด้วยการมอบท่อนไม้ 1 ท่อน ให้มาเป็นเจ้านาย ช่วงแรกขอนไม้ทำให้กบกลัวกระโดดหนีหาย
ต่อมากบจึงรู้ว่าขอนไม้ทำอะไรไม่ได้สอนร้องเพลงไม่ได้ จึงต่างพากันกระโดดขย่มขอนไม้ด้วยความดูถูกเกลียดชัง และไปขอเทพเจ้าให้ช่วยประทาน “เจ้านายใหม่” ที่มีอำนาจที่แท้จริงให้คุณให้โทษสามารถสอนกบให้ส่งเสียงได้เหมือนนก
เทพเจ้าจึงได้สอบถามว่าต้องการนกมาเป็นเจ้านายใช่ไหม และได้เตือนว่าอย่าได้เสียใจในภายภาคหน้า เมื่อเทพเจ้าได้ประทานนกกระสาแล้วเหล่ากบจึงดีใจ รีบเข้าไปขอให้นกกระสาสอนร้องเพลง แต่นกกระสากลับกินกบเหล่านั้นในที่สุด แม้กบเหล่านั้นจะกลับไปขอเทพเจ้าให้เอานกกระสาคืนไป แต่เทพเจ้าก็ได้บอกว่าเมื่ออยู่กันสบายๆ ดีๆ ก็ไม่พอใจ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ต้องทนกันไปเอาเอง
ภาพที่ 1 ไม่ว่ากบสีอะไร หากมัวแต่หลงผิดคิดว่านกกระสาเป็นเจ้านาย เพียงเพราะถูกหลอกว่าเป็นสีเดียวกัน เมื่อนั้นกบทั้งหลายไม่ว่าสีอะไรต่างก็จะถูกนกกระสากินอยู่ร่ำไป
แม้นิทานอีสปเรื่องนี้จะสอนให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นก็ตาม แต่อีกนัยหนึ่งก็คือสอนให้รู้ว่ากบต้องรู้จักปกครองกันเอง อย่าให้สัตว์อื่นที่คิดแต่จะหาประโยชน์มากินกบจนหมดสิ้น
เพราะนกกระสาก็ย่อมเป็นนกกระสาวันยังค่ำ นกกระสาก็ยังคงกินกบอยู่ต่อไป และนกกระสาก็จะไม่กินนกกระสากันเอง!!!
จากนิทานอีสปเรื่องดังกล่าวกบควรจะเรียนรู้ได้ว่านกกระสาเป็นภัยแก่กบอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากสังคมยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เหล่านกกระสาจึงต้องมีพัฒนาการในการแบ่งบทกันเล่นเพื่อจะได้กินกบหมดทั้งบึงในยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะถ้าจินตนาการเปรียบเทียบการถูกกินของกบ และการกินของนกกระสา กับ “ความยากจน” และ “ความร่ำรวย” ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีของ “ราคาน้ำมัน” ที่ประชาชนเดือดร้อนกับปัญหาข้าวยากหมากแพงทุกหย่อมหญ้า แต่สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มทุนและพรรคการเมืองอย่างมหาศาล โดยที่นักการเมืองแค่ใช้เล่ห์กลหลอกลวงประชาชนมาทุกยุคทุกสมัย
เริ่มต้นด้วย 12 ปีที่แล้ว หลังจากที่เหล่านกกระสาทั้งหลายต่างได้ทยอยมาบินกินกบสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ปรากฏว่ามี “นกกระสาฝูงใหญ่สีแดง” ได้รวมตัวกัน โดยมีหัวหน้าฝูงหัวใสใช้วิธีคาบเหยื่อตัวเล็กๆ มาให้กบ เช่น หนอน แมลง กบทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาเหล่านกกระสาเป็นแน่
ผลปรากฏว่าด้วยวิธีการดังกล่าวเหล่ากบทั้งหลายต่างดีใจเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานกกระสาฝูงอื่นๆ ที่สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่เคยให้อาหารกับกบเลย จึงคิดว่า “นกกระสาฝูงแดง” เหล่านี้เป็นฝูงที่แท้จริงซึ่งเทพเจ้าประทานมาให้ เพราะมีความเมตตากบอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นกบทั้งหลายจึงกระโดดเข้าไปในบริเวณนกกระสาฝูงแดงเป็นจำนวนมาก
ระหว่างนั้นเองเหล่ากบที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินเหยื่อรู้สึกซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณนกกระสาแดงเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เคยรู้ว่าในระหว่างนั้นเหล่านกกระสากำลังกินกบอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหมีพีมันอย่างที่นกกระสาฝูงอื่นไม่เคยได้มาก่อน
จนนกกระสาฝูงแดงนี้กินกบได้มากมาย ร่างกายจึงใหญ่โตแข็งแรงมากกว่านกกระสาฝูงอื่น โดยเฉพาะหัวหน้าฝูงนกกระแสแดงนั้นกินกบมากกว่านกกระสาตัวใด จึงกลายเป็นนกกระสายักษ์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่บึงแห่งนี้เคยมีมา
ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย หัวหน้านกกระสาฝูงแดงจึงบินไปคาบตาข่ายของมนุษย์มาคลุมบริเวณบึงที่ฝูงแดงอยู่ทั้งหมด โดยหมายที่จะสัมปทานกินกบบึงนี้เกือบทั้งหมดเอาไว้สำหรับนกกระสาแดงฝูงนี้แต่เพียงฝูงเดียว โดยไม่ให้นกกระสาฝูงอื่นมายุ่งเกี่ยว และบอกกับเหล่ากบว่าตาข่ายนี้เป็นตาข่ายเพื่อความสวยงามเพราะบึงแห่งนี้จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าตลอดไป
ด้วยที่หัวหน้าฝูงนกกระสาแดงแห่งนี้ร่างกายใหญ่ตัว และเป็นต้นคิดเจ้าเล่ห์สุดและเป็นตัวที่หาตาข่ายมา จึงต้องได้รับอาหารมากที่สุด ฝูงนกกระสาแดงตัวใดหากนำกบมาบรรณาการกับหัวหน้าฝูงได้มากหน่อย ก็ได้อยู่คอยใกล้ๆ กับหัวหน้าฝูงนกกระสาแดงซึ่งจะทำให้มีโอกาสกินเศษอาหารกบมากเท่านั้น แต่นกกระสาตัวใดกินกบเองโดยไม่เอามาให้กับหัวหน้าฝูง หรือส่งเสียงโวยวาย ก็จะถูกขับไล่ออกไปนอกตาข่ายในที่สุด
ส่วนเหล่านกกระสาฝูงอื่นๆ ได้แต่มองตาปริบๆ คิดว่าชาตินี้ฝูงของตัวเองคงหมดโอกาสที่จะกินกบในบึงนี้ตลอดไปแน่ๆ โดยเฉพาะ “ฝูงนกกระสาสีฟ้า” ที่ผอมแห้งแรงน้อยทุกวัน ส่วน “ฝูงนกกระสาสีเขียว” ก็นับวันรอเศษอวัยวะกบที่กระเด็นมาจากบึงบ้างถ้าทำตัวดีให้ “หัวหน้าฝูงแดง”พอใจ
4 ปีต่อมาเป็นช่วงเวลาหมดสัญญาแบ่งเขตกินกบในบึง ฝูงนกกระสาสีฟ้าก็พยายามคาบหาเหยื่อแมลงใหม่ๆ และหนอนพันธุ์ใหม่ๆ มาล่อเหล่าฝูงกบบ้าง แต่ก็ไม่สามารถตามทันความเจ้าเล่ห์ของหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงได้ เพราะหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงถึงขนาดบินไปขโมยคาบไฟนีออนของมนุษย์มาวางบริเวณบึงที่นกกระสาฝูงแดงอยู่ เพื่อจะได้ล่อแมลงมามากๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรง ทำให้เหล่ากบทั้งหลายต่างก็วิ่งเข้ามาหานกกระสาฝูงแดงมากมายสูงสุดในประวัติการณ์ของบึงแห่งนี้
1 ปีต่อจากนั้น ปรากฏว่ามี “กบเหลือง” ฝูงหนึ่งเกิดรู้ทันว่า นกกระสากำลังกินกบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งเสียงบอกกบทุกตัวให้รู้ว่าบัดนี้ “เรากำลังถูกกิน” และชี้ให้เห็นหลักฐานว่า 1. กบในบึงเราเหลือน้อยลงทุกวัน 2. นกกระสาอ้วนพีขึ้นทุกวันและตัวใหญ่มากขึ้น 3. ขี้นกกระสาสีแดงบริเวณนี้เพิ่มขึ้นมากแสดงว่าต้องกินกบเข้าไปมาก และ 4. ตาข่ายอยู่รอบๆ บึงนี้เต็มไปหมด แต่เหล่ากบในบึงก็เชื่อบ้างและไม่เชื่อบ้างเพราะส่วนใหญ่กบในบึงนี้ความจำสั้นและกำลังหลงระเริงอยู่กับเหล่าแมลงและหนอนที่หัวหน้านกกระสาหามาให้
พลันที่ฝูงกบทั้งหลายกำลังลังเลไม่แน่ใจ ฝูงกบเหลืองจึงชี้ให้กบในบึงทุกตัวดูหัวหน้ากระสาตัวใหญ่โลภมากกำลังกลืนกินกบ 76,000 ตัว อยู่ต่อหน้าต่อตา เหล่าฝูงกบจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มรู้ตัวรีบมุดกระโดดออกจากตาข่าย และเริ่มส่งเสียงร้อง โอ๊บ โอ๊บ มากขึ้นๆ ส่วนกบที่เหลือในตาข่ายก็ยังคงหลงระเริงและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับนกกระสาต่อไป เพราะฝูงนกกระสาแดงก็จะพยายามร้องเสียงดังกลบเหล่าเสียงฝูงกบสีเหลืองเช่นเดียวกันว่าเราคือผู้หาอาหารให้กบอย่างที่ไม่เคยได้มาก่อน
หัวหน้าฝูงนกกระสาแดงไม่พอใจ ลูกน้องและสาวกก็ต้องไม่พอใจด้วย ต่างสร้างผลงานเพื่อไม่ให้ใครมาขวางการกินกบ ด้วยการปลุกระดมให้ “กบแดง” ที่กำลังรู้สึกเป็นบุญคุณที่ได้แมลงและหนอนจากนกกระสาเข้าไปต่อสู้กับเหล่า “กบเหลือง” ผลปรากฏว่าขณะเกิดความวุ่นวาย “เหล่านกกระสาสีเขียว” อาศัยช่วงเวลาที่ “หัวหน้านกกระสาสีแดง” บินอยู่นอกตาข่ายเข้ายึดตาข่ายโดยทันที และไล่ “ฝูงนกกระสาสีแดง” ออกจากตาข่ายให้หมด เพราะอาศัยที่ว่านกกระสาฝูงสีเขียวแม้ตัวเล็กกว่า แต่ก็มีปากอันแหลมคมเป็นอาวุธยิ่งกว่านกกระสาฝูงใด
“เหล่ากบเหลืองและกบทั่วไป” ต่างดีใจกระโดดเข้าไปหา “นกกระสาสีเขียว” เพราะนกกระสาสีเขียวบอกว่าที่ต้องเข้ามาไล่นกกระสาสีแดงออกไปเพราะว่า “นกกระสาสีแดงกินกบมาก” และ “กบ 2 ฝ่ายทะเลากันมาก” ดังนั้นเราจึงต้องลงโทษนกกระสาสีแดงนั้นเสียและกลับมาสร้างความสงบในหมู่กบ ปรากฏว่านกกระสาสีเขียวอยู่ในบึงนั้น 1 ปีกว่าก็ทยอยกินกบเหมือนกัน และคอยจัดระเบียบให้นกกระสาฝูงแดงให้แยกกลุ่มกระจัดกระจายกันออกไปแบ่งกันกินกบในบึง
“หัวหน้านกกระสาสีแดง” จึงให้ลูกน้องนกกระสาส่งแมลงและหนอนให้กับเหล่า “กบสีแดง” ให้มีกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านสู้กับ “ฝูงนกกระสาสีเขียว” ระหว่างนั้น “นกกระสาสีเขียว” ก็เจรจากับ “หัวหน้านกกระสาฝูงแดง”ว่าจะไม่กวาดล้างล่าครอบครัวของหัวหน้านกกระสาสีแดง โดยหัวหน้านกกระสาสีแดงก็แบ่งกบในคลังอาหารของตัวเองให้ เพราะอย่างไรเสียนกกระสาก็ไม่ฆ่ากันเอง ขอเพียงแต่ว่าอย่ามากินกบรวบบึงเหมือนที่ผ่านมา
1 ปีผ่านไป ฝูงนกกระสาสีเขียว จึงตัดสินใจเปิดประมูลแบ่งเขตกินกบกันใหม่ระหว่างนกกระสาด้วยกัน ปรากฏว่า ด้วยความเจ้าเล่ห์ในการหาแมลงและหนอนมาให้กบกินตัวแทนหัวหน้าฝูงนกกระสาสีแดงก็ได้รับชัยชนะอีกแล้วก็เข้ามากินกบอีก หลังจากนั้นหัวหน้าฝูงแดงได้บินกลับมาที่บึงก็ถูกกฎของป่าสั่งขังหัวหน้าฝูงแดงฐานขโมยไฟนีออนและขโมยตาข่ายของมนุษย์แถมยังกินกบมากไป แต่หัวหน้าฝูงแดงหนีออกจากบึงแห่งนั้นไปได้จึงยังไม่กล้ากลับมา สร้างความพึงพอใจให้กับนกกระสาทั่วไปที่ไม่มีนกตัวใหญ่มาแย่งอาหาร และกบทั่วไปก็พอใจที่ไม่ถูกกินจากนกตัวใหญ่ ยกเว้นกบที่ยังหลงใหลในเหยื่อแมลงและหนอนที่หัวหน้านกกระสาแดงเคยหามาให้ว่าเป็นบุญคุณอันเหลือล้นที่ไม่อาจทดแทนได้ กบเหล่านี้ถูกนกกระสาหลอกว่าเราเป็นพวกเดียวกันเพราะเรามีสีเดียวกันคือ “สีแดง”
ในที่สุด “กบสีเหลือง” ก็ต้องออกมาต่อสู้กับฝูงนกกระสาแดงอีกครั้ง เพราะคราวนี้จะมีความพยายามแก้ไขกฎของป่าให้หัวหน้านกกระสาฝูงแดงกลับมากินกบในบึงต่อ ส่วนนกกระสาสีแดงได้ปลุกระดมให้กบสีแดงออกมาสู้กับกบสีเหลือง และการต่อสู้ครั้งนี้กบสีเหลืองถูกนกกระสาโจมตีบุกเข้ากินจนเสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการไปเป็นจำนวนไม่น้อย ในขณะที่นกกระสาสีเขียวก็ถูกปรนเปรอด้วยกบให้เป็นอาหารจนอิ่มพอเพื่อที่จะไม่ได้เป็นภัยต่อฝูงนกกระสาสีแดง แต่ในที่สุดกฎของป่าก็ต้องลงโทษกลุ่มนกกระสาสีแดงอีกครั้งโทษฐานขี้โกงในการประมูลแบ่งเขตกินกบในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในที่สุดนกกระสาสีฟ้า และนกกระสาสีเขียว จึงดึงพวกนกกระสาสีแดงบางฝูงที่กินไม่อิ่มมาร่วมกันแบ่งเขตกินกบกันใหม่ และไล่นกกระสาแดงออกจากบึง คราวนี้นกกระสาสีฟ้าก็เริ่มกินกบเพิ่มมากขึ้นเพียงแต่สุภาพกว่าและส่งเสียงเพราะกว่า ทำให้กบสีเหลืองบางส่วนหลงใหลและอยากส่งเสียงได้ไพเราะต่างชื่นชอบเหล่านกกระสาสีฟ้าทั้งสิ้น
ส่วนกบสีเหลืองยังคงส่งเสียงร้องว่านกกระสากำลังกินกบเหมือนเดิม แต่เหล่ากบสีเหลืองบางส่วนต่างเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าเพราะบอกว่าอย่างไรเสียนกกระสาตัวนี้ก็ยังดีกว่าตัวที่แล้วเพราะสุภาพกว่าและส่งเสียงเพราะกว่า!?
เหล่า “นกกระสาสีฟ้า” และ “นกกระสาสีเขียว” เห็นว่า “กบฝูงเหลือง” รู้ว่าอย่างไรนกกระสาก็ต้องกินกบ และ “กบฝูงแดง” ก็จะรับใช้หัวหน้านกกระสาสีแดงที่คอยส่งแมลงและหนอนให้ ย่อมจะเป็นภัยกับตัวเอง จึงเริ่มดำเนินการสร้างภาพให้กบทั่วๆ ไปไม่มีสีให้เข้าใจว่า “กบมีสี” คือพวกวุ่นวาย ดังนั้น “นกกระสาสีฟ้า” และ “นกกระสาสีเขียว” จึงเริ่มจู่โจมหวังมัดกบฝูงเหลือง และจิกให้กบฝูงเหลืองพิการเป็นกลุ่มแรกๆ และถึงขนาดสมรู้ร่วมคิดจะรุมฆ่าและกินหัวหน้ากบฝูงเหลืองมาแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
ในขณะที่ “เหล่ากบแดง” ปลุกระดมให้สู้เพื่อหัวหน้านกกระสาฝูงแดง เข้าโรมรันกับนกกระสาสีฟ้า ผลปรากฏว่ากบเขียว (ลูกน้องหัวหน้านกกระสาสีเขียว) ตายบางส่วน เหล่ากบแดงก็ตายไปเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน จนในที่สุดเหล่านกกระสาสีฟ้าก็ปล่อยกบแดงและนกกระสาแดงเพื่อสร้างภาพให้เอาบุญคุณกับเหล่ากบทั้งหลายว่าเป็นนกที่มีความเมตตาสูง
ในที่สุดเหล่า “กบเหลือง” ก็ต้องส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้งเพื่อต่อต้านเหล่า “นกกระสาสีฟ้า” ที่คอยกินกบไม่เลิก แถมยังดำเนินการจะไปแบ่งปันบึงให้นกกระสาป่าอื่นมาร่วมกินกบด้วย จนกระทั่งทั้งกบเหลืองและกบแดงต่างก็ส่งเสียงดังต่อต้านนกกระสาสีฟ้า นกกระสาสีฟ้าได้ทีจึงตัดสินใจให้เปิดประมูลแบ่งเขตกินกบในบึงกันใหม่
คราวนี้นกกระสาสีฟ้าใช้วิธีส่งเสียงว่า ถ้าไม่กระโดดมาหานกกระสาสีฟ้า ระวังนกกระสาสีแดงที่นกกระสาสีฟ้าปล่อยออกมาเองจะเข้ามากินกบกันหมด เพราะอย่างไรเสียนกกระสาสีฟ้าก็สุภาพกว่าและส่งเสียงไพเราะกว่า แต่ปรากฏว่าเหล่ากบส่วนใหญ่ยังพอใจในเทคนิคการสัญญาว่าเหล่านกกระสาจะหาแมลงและหนอนมาให้มากกว่าเหล่ากบแดงจึงกระโดดไปหาฝูงนกกระสาสีแดงอีกครั้ง
เมื่อนกกระสากลับเข้ามาในบึงก็เริ่มทยอยกินกบในบึงอีกครั้ง ส่วนกลุ่มกบสีเหลืองรู้ทันจึงไม่กระโดดไปหานกกระสาฝูงไหนเลย และเห็นว่าการต่อสู้เพื่อให้นกกระสาผลัดมากินกบไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้นกับกบในบึง
ส่วนหัวหน้านกกระสาสีแดงได้ผ่านความวุ่นวายมาหลายปี จึงวิงวอนให้ “กบแดง”ทั้งหลายที่เสียชีวิตและบาดเจ็บสู้เพื่อ “หัวหน้านกกระสาสีแดง” ต้องรู้จักเสียสละความสงบส่วนใหญ่ในบึง เพียงเพราะ “หัวหน้านกกระสาสีแดงอยากกลับมากินกบที่บึงนี้อีกครั้ง”
ประโยคนี้ทำให้เหล่ากบแดงเริ่มคิดได้ว่า ถ้าเพียงแค่ต้องการให้กบแดงเสียสละชีวิตจำนวนมากเพื่อช่วยหัวหน้านกกระสาสีแดง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเหตุใดหัวหน้านกกระสาสีแดงไม่รู้จักเสียสละตนเองตั้งแต่ตอนแรก!?
น้องสาวหัวหน้านกกระสาสีแดง ที่เป็นหัวหน้าฝูงอยู่ในเวลานี้ ได้แบ่งปันพื้นที่ในบึงให้กับหัวหน้านกกระสาสีเขียว และสีอื่นๆ ในการแบ่งเขตกินกบในบึงและร่วมมือสามัคคีกับนกกระสากลุ่มอื่นๆ ในการกินกบมากขึ้น
หลายปีผ่านไปทำให้ “กบสีเหลือง” ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหาในเวลานี้เกิดจาก กบทั้งหลายมัวแต่หวังนกกระสามาเป็นเจ้านายและผู้ปกครองโดยไม่รู้จักปกครองตนเอง
ในขณะที่ “กบสีแดง” บางส่วนก็เริ่มเห็นแล้วว่า “นกกระสาสีแดง” ไม่มีความจริงใจกับกบแดงที่เป็นเหยื่อตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะหันไปจับมือกับนกระสาฝูงอื่นมากินกบมากขึ้น
เพราะสันดานของนกกระสาอย่างไรก็ไม่เคยเปลี่ยน คิดแต่ประโยชน์ที่จะหาทางกินกบอยู่ร่ำไป และบึงแห่งนี้จะสงบได้ก็ต้องไล่นกกระสาทุกสีออกไปจากบึงเท่านั้น จึงจะเกิดความสงบสุขที่แท้จริงกลับมาที่บึงได้!!!