ASTVผู้จัดการรายวัน-“สุรินทร์”เผยรัฐมนตรีคลังอาเซียนพ.ค.นี้ เตรียมหารือเพิ่มเงินกองทุนอาเซียน จาก 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐเป็น 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หวังใช้เป็นกันชนรับมือปัญหาเศรษฐกิจ หลังสหรัฐฯ และยุโรปยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เปิดเผยในการเข้าร่วมงานประชุมองค์กรส่งเสริมการค้าของภูมิภาคเอเชีย(ATPF) ครั้งที่ 25 ว่า ในการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนที่จะมีขึ้น 3 พ.ค.นี้ ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จะมีการหารือประเด็นการเพิ่มเงินกองทุนสร้างความเข้มแข็งในอาเซียน หลังจากที่รัฐมนตรีคลังอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ตกลงเพิ่มเงินกองทุนสร้างความเข้มแข็งในอาเซียน จากปัจจุบัน 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และในระหว่างนี้แต่ละประเทศจะต้องไปดำเนินการตามขั้นตอนภายใน ก่อนนำข้อสรุปมาเสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนพิจารณา จากนั้นจะนำเสนอให้ที่ประชุมผู้นำอาเซียน (อาเซียน ซัมมิท) ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ทั้งนี้ การเพิ่มเงินกองทุนกำหนดดังกล่าว ให้ใช้สัดส่วนเดิมที่แต่ละประเทศต้องนำเงินมาร่วมในกองทุน ประกอบด้วย 10ประเทศสมาชิกอาเซียนนำเงินเข้ากองทุนรวมกัน 20% เกาหลีใต้ 20% จีน 30% และญี่ปุ่น 30% เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การเงินในอาเซียนและเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจในอาเซียน เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจของโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ยังไม่มีความชัดเจน และการฟื้นยังไม่มั่นคง
นอกจากนี้ อาเซียนจะต้องร่วมมือกันในการส่งเสริมการค้า และสร้างความเข้มแข้งภายในให้เพิ่มมากขึ้น เพราะในอนาคต เอเชียถูกมองว่าจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ให้เพิ่มมากขึ้น และให้เข้าไปมีบทบาทในการค้าขายให้มากขึ้น
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประชุม ATPF ครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการกำหนดนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต เพราะในเอเชียเองมีหลายประเทศที่มีศักยภาพสูง ขณะที่อาเซียนเอง ก็ได้มีการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะทำให้เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจทั้งการดึงดูดการค้า และการลงทุน
"ในการประชุมครั้งนี้ ไทยได้เสนอประเด็นการเตรียมความพร้อมให้กับSMEs เพื่อรองรับการแข่งขัน เช่น การดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์มาเป็นช่องทางทางการค้าใหม่ รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านการค้าและบริการสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ของโลก ขณะเดียวกัน ไทยยังจะขอรับการสนับสนุนในการเป็นเจ้าภาพจัด World Expo ในปี 2020 ด้วย"นายภูมิกล่าว
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เปิดเผยในการเข้าร่วมงานประชุมองค์กรส่งเสริมการค้าของภูมิภาคเอเชีย(ATPF) ครั้งที่ 25 ว่า ในการประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนที่จะมีขึ้น 3 พ.ค.นี้ ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จะมีการหารือประเด็นการเพิ่มเงินกองทุนสร้างความเข้มแข็งในอาเซียน หลังจากที่รัฐมนตรีคลังอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ตกลงเพิ่มเงินกองทุนสร้างความเข้มแข็งในอาเซียน จากปัจจุบัน 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และในระหว่างนี้แต่ละประเทศจะต้องไปดำเนินการตามขั้นตอนภายใน ก่อนนำข้อสรุปมาเสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนพิจารณา จากนั้นจะนำเสนอให้ที่ประชุมผู้นำอาเซียน (อาเซียน ซัมมิท) ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ทั้งนี้ การเพิ่มเงินกองทุนกำหนดดังกล่าว ให้ใช้สัดส่วนเดิมที่แต่ละประเทศต้องนำเงินมาร่วมในกองทุน ประกอบด้วย 10ประเทศสมาชิกอาเซียนนำเงินเข้ากองทุนรวมกัน 20% เกาหลีใต้ 20% จีน 30% และญี่ปุ่น 30% เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์การเงินในอาเซียนและเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับธุรกิจในอาเซียน เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจของโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ยังไม่มีความชัดเจน และการฟื้นยังไม่มั่นคง
นอกจากนี้ อาเซียนจะต้องร่วมมือกันในการส่งเสริมการค้า และสร้างความเข้มแข้งภายในให้เพิ่มมากขึ้น เพราะในอนาคต เอเชียถูกมองว่าจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ให้เพิ่มมากขึ้น และให้เข้าไปมีบทบาทในการค้าขายให้มากขึ้น
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประชุม ATPF ครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการกำหนดนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อผลักดันให้เอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต เพราะในเอเชียเองมีหลายประเทศที่มีศักยภาพสูง ขณะที่อาเซียนเอง ก็ได้มีการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะทำให้เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจทั้งการดึงดูดการค้า และการลงทุน
"ในการประชุมครั้งนี้ ไทยได้เสนอประเด็นการเตรียมความพร้อมให้กับSMEs เพื่อรองรับการแข่งขัน เช่น การดำเนินธุรกิจการค้าออนไลน์มาเป็นช่องทางทางการค้าใหม่ รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านการค้าและบริการสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ของโลก ขณะเดียวกัน ไทยยังจะขอรับการสนับสนุนในการเป็นเจ้าภาพจัด World Expo ในปี 2020 ด้วย"นายภูมิกล่าว
